วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ຄະຕິສອນໃຈ

Picture@Bailane.com
(ໜັງສືທໍາ ຂຽນແບບຊາວຂືນ ແລະລື້ ວັດບ້ານໂປ່ງ ເມືອງຍອງ ປະເທດພະມ້າ)
ແປ ຫຼືປະຣິວັດເປັນອັກສອນລາວ
ຄຕິສອຣໃຈ
໑. ຫຼັບນ້ຽນີ້ການຫາຽ ຫຼັບຫຼາຽນີ້ກາຣມາກ.
໒. ຂັກໄຄ້ຕີ໋ໄໜສົມເຈີ໋ຕີ໋ຫັ້ນ ກຽດຄ້ານຕີ໋ໄໜ ຈູນເຈີຈຕີ໋ຫັ້ນ.
໓. ໃຈບຸນນີ້ມີລາພ ໃຈບາບນີ້ມີວຽຣ.
໔. ໃຄ່ມີງຶນຄໍານີ້ຫື້ລ້ຽງສັຕ ເຫັດສ້າງ ຄ້າຂາຽ.
໕. ໃຄຫື້ຈິບຫາຽນີ້ ດຸດຢາດໍາເຫຼັນພ້າຽຖວງ ໂຫຼົ້(ເຫົ້ຼາ)ຖວງສາວ ----------
(ຂໍ້ທີ່ ໕ ນີ້ຍັງອ່ານບໍ່ຖືກຄັກ ໃຜອ່ານອອກຈັ່ງໃດແກ້ໄຂໃຫ້ແນ່)
ທັງໝົດທັງປວງປະຣິວັດຕາມຮູບຄໍາ ສ່ວນແປງເປັນພາສາລາວໃຕ້ ໄທຍ໌ສຍາມໃຫ້ ອ້າຍ ດມສ, ລຸງມະນີຣັຕນ໌, ອ້າຍກ່າວນ່ານ ແປງຫື້ເນີ

พุท้าวพุนาง

กาลครั้งหนึ่ง มีนางยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่ากินนา อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ใกล้ภูเขา  นางกินนายังเป็นสาวไม่มีผัว  อยู่ตัวเดียวเดี่ยวโดด  ทุก ๆ เช้านางกินนาจะเดินไปตามป่า  จะกลับมาบ้านต่อเมื่อถึงเวลาอาหาร  นางจะเฝ้าดูน้ำที่ไหลไปตามซอกหินและต้นหญ้า  บ่อยครั้งที่นางจะนั่งอยู่ใต้ต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้าง  ทำให้ร่มเย็นแสนสบาย
การที่นางกินนาใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ในป่าเช่นนั้น  ทำให้นางคุ้นเคยกับสัตว์ป่านานาชนิด  บางครั้งจะเห็นนางนั่งเล่นอยู่กับนกจำนวนมาก  นกเหล่านั้นจะร้องเพลงให้หล่อนฟัง และบางครั้งหล่อนก็จะขึ้นไปนั่งบนคอช้างป่า
เช้าวันหนึ่ง นางกินนาได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในป่า ชายหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างงดงามราวกับพระอินทร์(ลาวชอบเปรียบคนรูปงามว่างาม ราวกับอินทา ในต้นฉบับอธิบายไว้ว่า อินทาเป็นเทพเจ้าแห่งความงาม) หนุ่มผู้นั้นถือปืนไว้ในมือ นางกินนาใฝ่ฝันอยู่นานแล้วที่จะมีสามีสักคนหนึ่ง  หล่อนจึงรู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแลเห็นหนุ่มรูปงามคนนี้
ขณะที่นางกินนากำลังรำพึงฝันหวานอยู่นั้น  นางก็ระลึกขึ้นได้ว่านางเป็นยักษ์รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด  เมื่อชายหนุ่มเห็นเข้าก็คงจะไม่หลงรักอย่างแน่นอน  อย่ากระนั้นเลยปลอมแปลงกายให้งดงามเสียก่อนจะดีกว่า นางจึงร่ายเวทมนต์กลายร่างจากยักษ์เป็นหญิงสาวรูปงาม มีเสน่ห์ยากที่หญิงใดจะเทียบเคียงได้ เมื่อแปลงกายแล้ว  นางกินนาก็ออกเดินเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วถามว่า
“ พี่เข้ามาในป่าจะไปไหนหรือ”
“  ฉันมาล่าสัตว์”  ชายหนุ่มตอบ
แล้วถามต่อไปว่า “เธออยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”
“ จ้ะ ฉันอยู่คนเดียว อยู่กับนกกับต้นไม้”
เสน่ห์ของนางกินนาทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะหลงรัก เขาเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วชวนพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ   เมื่อเห็นหญิงสาวไม่รังเกียจ  ก็ชวนไปนั่งคุยที่ลานหญ้าใกล้ลำธารชายหนุ่มได้บอกชื่อของเขาให้หล่อนทราบว่า เขาชื่อพุทเสนแล้วเล่าเรื่องราวให้หล่อนฟัง  นางกินนาได้ขอร้องให้ชายหนุ่มพักอยู่กับหล่อนนาน ๆ พุทเสนก็ยอมตกลงด้วยความยินดี
พุทเสนอยู่กับนางกินนาด้วยความสุขสำราญ  จนทำให้เขาลืมมารดาที่อยู่อย่างยากจนทางบ้าน
วันหนึ่งนางกินนาได้บอกความลับของนางให้พุทเสนฟังด้วยความไว้วางใจ
“ พี่  ฉันลืมบอกพี่ไปว่าในหีบใบนี้มีมะนาวที่ไม่รู้จักสุกไม่รู้จักเหี่ยวอยู่หลาย ผล  เป็นมะนาววิเศษที่ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งย่าครั้งยายของฉันทีเดียว  มะนาวเหล่านี้มีอำนาจวิเศษมาก พี่เคยไปเที่ยวสวนของฉันบ้างไหม”
“ไม่เคยเลย” ชายหนุ่มตอบ “อยู่ที่ไหนล่ะ”
“อ๋อ” กินนาตอบ “อยู่ห่างจากนี่สักแปดสิบเส้นเห็นจะได้  แต่ฉันขอร้องอย่าได้คิดไปเลย มันมีอันตรายมาก”
พุทเสนไม่ตอบ  แต่เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องสวนแห่งนี้
วันหนึ่งเมื่อนางกินนาไม่อยู่  พุทเสนก็ถือโอกาสตอนที่นางกินนาไม่อยู่นั้นไปที่สวนที่นางกินนาห้าม  ในสวนแห่งนั้นพุทเสนได้พบกระดูกมนุษย์ทับถมอยู่ในคูเกือบเต็ม  พุทเสนนึกเดาเรื่องได้ตลอด นางกินนาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน  เขาเกิดความกลัวขึ้นมาจึงวิ่งกลับมาบ้านแล้วเข้าไปในห้องเปิดหีบหยิบมะนาว วิเศษออกมา  เขาไม่รีรอให้เสียเวลารีบวิ่งออกจากป่าไปทันที
หลังจากที่พุทเสนหนีไปได้ไม่นานเท่าไรนัก นางได้เข้าไปดูที่เก็บมะนาวไว้ พอรู้ว่ามะนาวหายก็นึกรู้ได้ทันทีว่าพุทเสนรู้ความลับและหนีไปแล้ว นางจึงกลับกลายเป็นยักษ์ตามเดิมแล้วไล่ตามพุทเสนไป
ด้วยกำลังยักษ์ นางกินนาวิ่งตามเพียงพักเดียวก็แลเห็นหลังพุทเสนไว ๆ นางกินนาร้องเรียกให้พุทธเสนหยุดพูดกันก่อน  แต่พุทเสนไม่ยอมฟังเสียง  เมื่อเห็นนางกินนาใกล้เข้ามา  พุทเสนก็ล้วงเอามะนาวในย่ามออกมาผลหนึ่งแล้วขว้างไปตรงหน้านางกินนา ทันใดนั้นก็เกิดเป็นกองไฟกองมหึมาลุกลามกั้นนางกินนาไว้ ได้ยินแต่เสียงนางกินนาร้องเรียกแต่มองไม่เห็นตัว เพราะเปลวไฟลุกโพลง
พุทเสนไม่รอช้าขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้น  เขาก็วิ่งหนีต่อไป  แต่หนีไปไม่ได้ไกลเท่าไร  ก็ได้ยินเสียงนางกินนาร้องเรียกใกล้เข้ามา นางกินนาได้ใช้เวทมนต์ดับไฟสามารถไล่ตามเขามาได้อีก พุทเสนเห็นจวนตัวจึงหยิบมะนาวอีกผลหนึ่งออกมาจากย่ามแล้วขว้างไป  คราวนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่มองแทบไม่เห็นฝั่ง
นางกินนาถึงจะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยัง ไม่ละความพยายามกระโจนลงน้ำว่ายข้ามทะเลสาบมาอย่างกล้าหาญ  เมื่อนางกินนามาถึงฝั่งตรงข้าม  นางก็เหนื่อยอ่อนเต็มที นอนหลับอยู่ริมตลิ่งนั่นเอง นางไม่สามารถจะขยับเขยื้อนกายต่อไปได้อีก นางได้อ้อนวอนต่อสวรรค์  ขอให้ลงโทษต่อสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ของนาง เมื่อนางอ้อนวอนสิ้นสุดลงดวงตาของนางก็ปิดสนิทนางกินนาขาดใจตายเสียแล้ว
เมื่อพุทเสนแลเห็นนางกินนานอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนกายเช่นนั้นก็นึกว่านาง คงจะเหนื่อย  อ่อนกำลังไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้แล้ว  นึก ๆ ไปพุทเสนก็เกิดสงสารนางกินนาขึ้นมา  เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน  นางกินนาได้เอาอกเอาใจเป็นอย่างดี  นางกินนารักพุทเสนด้วยใจจริง  เมื่อคิดถึงความหลังขึ้นมาอีก พุทเสนก็ใจอ่อนเดินกลับไปหานางกินนาที่นอนอยู่ และพอรู้ว่านางกินนาขาดใจตายไปแล้ว พุทเสนก็ทรุดตัวลงข้าง ๆ ร่างของนางกินนา พยายามพยาบาลจะให้นางฟื้นขึ้นมาอีก  แต่ไม่สำเร็จพุทเสนเสียใจมาก เขาล้มฟุบลงบนร่างของนางกินนา และขาดใจตายตามไปอีกคนหนึ่ง
ร่างของนางกินนาและพุทเสน คงอยู่ริมแม่น้ำแห่งนั้น และเมื่อหลายร้อนปีผ่านไป ร่างของทั้งสองก็กลายเป็นภูเขาสองลูก ซึ่งเรียกกันว่า ภูท้าว และ ภูนาง ยังคงมีอยู่ใกล้ ๆ กับหลวงพระบางในเวลานี้

ນົກກະຈອກຟ້າ

       ยังมีนกกระจอกน้อยผัวเมียคู่หนึ่ง ทำรังอยู่ในหนวดของพระฤาษีอย่างมีความสุข ตัวผู้ออกไปหาเหยื่อส่วนตัวเมียเฝ้าไข่อยู่ในรัง ต่อมาตัวเมียฟักไข่ตัวผู้ก็ออกไปหาเหยื่อตามปกติ วันหนึ่งตัวผู้ไปหาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง พ่อนกมัวแต่หาเหยื่อในดอกบัวเพลินจนตะวันพลบค่ำ ดอกบัวก็หุบเอานกกระจอกตัวผู้นั้นออกมาไม่ได้ ต้องรอจนรุ่งอรุณวันใหม่ดอกบัวบานออกจึงออกมาได้และรีบบินกลับรัง ฝ่ายนกกระจอกตัวเมียคิดว่าผัวนอกใจไปมีเมียใหม่ จึงได้ทะเลาะถกเถียงกันและตัวผู้ก็สาบานแสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อเมียว่า “หากคิดมีชู้จากเมีย ขอให้เป็นบาปเป็นกรรมอันร้ายแรงตัวเท่ากับพระฤาษี ขอให้ตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจี” ฝ่ายพระฤาษีได้ยินนกกระจอกผัวเมียคู่นั้นถกเถียงสาบานกันดังนั้นก็โกรธมาก จึงไล่นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นให้ไปอยู่ที่อื่น นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นจึงย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยไปอาศัยอยู่ป่าเลาที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งไฟป่าเกิดลุกไหม้ และลามเข้ามาใกล้รังของนกกระจอกผัวเมีย ทั้งคู่ได้สัญญากันว่าถ้าไฟไหม้มาถึงรัง จะไม่พากันหนีไปไหน จะยอมตายด้วยกันกับลูก ถ้าใครผิดคำสัญญาไม่ว่าชาติไหนจะไม่ยอมพูดกับเพศตรงกันข้ามอีกต่อไป ฝ่ายนกตัวผู้ก็ยอมรับคำตามคำสัญญานั้น ในที่สุดไฟป่าก็ลุกลามมาถึงรังของนกกระจาบ นกตัวผู้พอเห็นเข้ามาจวนตัวก็คิดว่า ถ้าอยู่ไปก็ตายเปล่า จึงผิดสัญญารีบบินหนีเอาตัวรอด แต่ก็ไปไม่รอดถูกไฟไหม้ตาย ส่วนตัวเมียได้ยอมตายในกองเพลิงพร้อมกับลูกน้อย
            ในชาติต่อมา นกกระจาบตัวผู้เกิดเป็นโอรสของเจ้าเมืองแห่งหนึ่งนามว่า ท้าววรจิต ส่วนนกกระจาบตัวเมียได้เกิดเป็นธิดาของเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งทั้งคู่มีรูป โฉมที่สวยสดงดงามดั่งเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ นับตั้งแต่นางเกิดมานางไม่ยอมพูดกับชายใดเลยแม้แต่พระบิดาของนางเอง พระบิดาของนางมีความทุกข์เป็นหนักหนา จึงได้ประกาศไปว่า ถ้าใครสามารถทำให้นางพูดกับผู้ชายได้ หรือว่านางพูดกับชายใด ก็จะยกเมืองให้ปกครอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้ ท้าววรจิตได้ยินข่าวนั้นจึงได้ไปเรียนวิชาถอดจิตกับพระฤาษี แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวนแล้วจึงให้ย่าจำสวนพาไปอาสาพูดกับนางจัน ทะจร โดยถอดจิตไว้กับหมอนแล้วพูดกับหมอนในเรื่องราวต่างๆ ในที่สุดพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ผู้ชายตลอด และท้าววรจิตจำเรื่องราวอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นนกกระจอกได้ จึงได้นำเรื่องนกกระจอกในอดีตชาติของตนมาเล่าให้หมอนฟัง แต่ตอนจบเรื่องแกล้งเล่าให้ผิดว่า ตัวเมียบินหนีไฟป่าไปก่อน ปล่อยให้ตัวเองกับลูกน้อยถูกไฟไหม้ตายพร้อมกัน คำพูดดังกล่าวแทงใจดำของนางจันทะจรซึ่งระลึกชาติได้ ทำให้นางโกรธมาก จึงพูดโต้แย้งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า เรื่องที่ท้าววรจิตพูดนั้นมันไม่เป็นความจริง เมื่อพูดเพียงเท่านั้น เหล่าเสนาอำมาตย์ที่เอาฆ้องกลองมาแอบดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็ตีฆ้องกลองกัน เสียงดังสนั่นก้องเป็นสัญญาณว่านางจันทะจรได้พูดกับผู้ชายแล้ว พระบิดาของนางจันทะจรจึงอภิเษกสมรสให้ท้าววรจิตกับนางจันทะจรพร้อมทั้งยกราช สมบัติให้ท้าววรจิตปกครองต่อไปและทั้งคู่ก็ครองรักปกครองไพร่ฟ้าประชาชนอยู่ อย่างสงบสุข

ພະຍາພິມພິສານ

          อาตมาภาพจะขออนุโมทนาด้วยท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรมาชุมนุมกันอยู่ในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลาย จงตั้ง(โสตาผาสาส โสตประสาท) (เป็นภาชนะ)ทองมารองรับเอารัสสะพระธรรมเทศนาเทิด ก็จักเกิดมาเป็นบุญแล้วก็จะได้ สำเร็จ ดังมโนรสความปรารถนา ท่านทั้งหลายได้ฟังแล้วก็ให้ตั้งใจฟังจิงจะเป็นบุญ ไม่เสียทีที่จะฟัง หู ๑ ไปฟังวนด้วยเขาพูดกัน ถ้าใผ ว่าคนที่ฟังธรรม หู ๑ ว่าบุญก็ยังมิได้ก่อนนี้แล้ว  ท่านทั้งหลายจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด  พระบาลีกล่าวว่า  ถ้าบุคคลผู้ใดมาฟัง พระธรรมเทศนาประกอบไปด้วยความนั้นอย่าสงใสเลยว่าจะได้ไปตกนรก คงจะหนาไปเป็นแน่ เอกะทา กิระ สัมมะเย สัตถาสาวัตถิยัง อุปะนิสายะ ปิตาระมาตุยา สัตตะวิณันติ สันติจานัง ปะรินะเตนะกา ปุระริยารามเม อะโหสิ เอกะทา กิระ สัมมะเย  ในกาละครั้งนั้น  สัตถาอันว่าองค์สมเด็จพระ ศาสดาตนสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เทศนาโปรดเวเนยยสัตว์คนท่านทั้งหลายทั้งปวงให้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ สาตะถานะปัตโต สาโรราชา  ในกาละครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารพระองค์เสด็จแวดล้อมไปด้วยพระหลวงขุน หมื่นทั้งหลาย เป็นยศศักดิ์บริวารก็เสด็จออกมาสู่พระมหาวิหารปรารถนารจะฟังพระสัทธรรมเทศนา แห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ฟังแล้วสมเด็จ พระยาพิมพิสารก็คลานเข้าไปสู่ที่เฝ้าแห่งสมเด็จพระพุทธิเจ้าแล้วนมัสการทูล ถามว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่ พระพุทธิเจ้า อันว่า บุคคล ๓ จำพวกนั้นมีศรัทธาต่างๆ กันจากพวกรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แต่ว่าไม่ฟังธรรมเทศนาแลทำบุญให้ทาน รักษาแต่ศีลอย่างเดียว จำพวกทำบุญให้ทานแต่ว่าไม่รักษาศีล พวก ๑ ตั้งใจฟังพระสัทธรรมเทศนาไม่ขาดแต่ว่าไม่ทำบุญให้ทานนี้แล พระพุทธิ เจ้าข้า อันว่าบุคคล ๓ จำพวกนี้ถ้าตายจากมนุสสาโลกนี้แล้วพวกไหนจะไปสวรรค์ก่อนนี้แล พระพุทะธเจ้าข้า  เค้าขม่อมสัน(เกล้ากระหม่อมฉัน) สงสัยนักหนา ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เค้าขหม่อมสันฟังให้แจ้งใน กาละบัดนี้เทิด อัตถา ภะคะวา รัญจะวัจจะนัง สุตะวา ลำดับแต่นั้น สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ซง(ทรง)ฟังพระยาพิมพิสารอาราธนา ดังนั้นพระองค์จึงเผยพระอดสาออกตรัสพระสัทธรรมเทศนาดูก่อนบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร) อันว่าบุคคล ๓ จำพวก นี้ถ้าตายวันใดที่จะไปสวรรค์อย่างความปรารถนานั้นก็ยังไม่ได้ไปดอก อันว่าจำพวกรักษาศีลนั้น ถ้าดับปัจจะขัน(ปัญจขันธ์หรือเบญจขันธ์)ใจขาด แล้วหูตาสว่างแจ้งเหลียวเห็นเมืองสวรรค์อยู่ แต่ว่าหาแฮงที่จะไปมิได้ อันว่าจำพวกที่ทำบุญให้ทานนั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาดแล้ว กำลังก็มากก็จะข้ามสงสารได้ กับว่าตาทั้ง ๒ หากบอดเสียมิได้แจ้งเลย อันว่าจำพวกที่ฟังธรรมเทศนานั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาด แล้วมีกำลังก็มาก ตาทั้ง ๒ ก็สว่างแจ้ง กับว่าหาปัญญามิได้ ไม่ปกติเลย แต่หลงๆ ลืมๆ มิอาจจะขว้ามสงสารได้นี้แล บผิด(บพิตร)พระราชสมภารสันนิษฐานเข้าใจเทิด ถ้าว่าบุคคลผู้ปรารถนาจะไปเกิดในเมืองสวรรค์ ก็ให้ตัดฮอนเสียซึ่งความถีนะแล้วอดสากระทำบุญให้ทานเจริญเมตตาภาวนารักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วอดสาหาฟังธรรมเทศนาไว้ในปีเดือนอย่าให้ขาด โย ปุคคละโล อันว่าบุคคลผู้ใดกระทำบุญดังวิสัชนามาสันนี้ไม่ลำบากปรารถนาเลย ถ้าตายลงวันใดตัวบุญที่ทำไว้นั้นแลมาเป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่พากันไป เกิดในเมืองสวรรค์ไม่มีความสงไสเลยนี้แล บพิตรพระราชสมภาร อันว่ากิริยากระทำบุญให้ทานในพระศาสนาของเรานี้ ไม่ต้องปรารถนาก็คงจะได้เป็นแน่ด้วยกรรมว่า พระยามัจจุราชตามเล็งดูอยู่ทุกวันทุก คืนมิได้ขาด ถ้าบุคคลผู้ใดกระทำบาปมากหรือทำบุญมาก พระยามัจจุราชท่านก็ฮู้จงหมดจงสิ้นนี้แลบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร) อย่าต้องสงไสเลย อันว่ามนุษย์เกิดมาในโลกทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี ท้าวพระยามหากษัตริย์ก็ดี อันว่าพระยามัจจุราชไว้หน้าไว้ตานั้นก็หามิได้ เถิงจะเอาเงินทองสักฮ้อยเท่าพันทีมาไถ่เอาชีวิตไว้ก่อนก็ไม่ได้ ก็ต้องกระทำกาลกิริยาตายสิ่งเดียวกันไปหมดนี้แล พระยาพิมพิสารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด เถิงว่าบุคคลผู้ใดจะมีริทธาศักดานุภาพมากสักเท่าใดๆ ว่าจะหลบลี้หนีไปให้พ้นพระยามัจจุราช อย่าพึงนึกเลย ต้องได้ทิ้งลูกฮักแลเมียฮักไว้แล้วกระทำกิริยาตายไปแต่ตนผู้เดียว อันว่าลูกฮักแลเมียฮักเข้าของเงินทองที่ฮักๆ ที่แพงๆ นั้นจะได้ติดตัวไปเป็นเพื่อนเมื่อเวลาพระยามัจจุราชมาเอาไปนั้นก็หาก(ก็หามิ ได้) เว้นไว้แต่ศีลแลทานการกุศลนี้ แลจะมาอุปถัมภ์ค้ำชูพาตนไปเกิดในสวรรค์ ถ้าบุคคลผู้ใดหาบุญหากุศลมิได้แล้วเมื่อจะกระทำกาลกิริยาตายก็ทนขา(ทุกข์ขา)เวทนา ยิ่งหนักหนา ด้วยว่าบุญบาปมันมางอบงำไว้ อันว่าคนเราจำกาลกิริยาตายนี้อุปมาดังนอนหลับ ถ้าผู้ใดได้กระทำกุศลไว้มาก ตัวกุศลนั้นว่ามาพาตนเป็นยศศักดิ์บริวารพาตนไปเกิดในเมืองสวรรค์ด้วยหนทาง อันกง ถ้าบุคคลผู้ใดได้กระทำบาปกรรมไว้แล้ว ถ้าตายลงวันไหนพวกบาปกรรมมันมาเป็นยศศักดิ์บริวารเอาบุคคลผู้นั้นไปเกิดใน เมืองนรกเสวยทุกขาเวทนาอยู่ในเมืองนรกนั้นมีอายุยืนยาวได้ชั่วพระอาทิตย์พระ จันทร์ก็มีอายุตามลำดับเขากระทำไว้นี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารเราเทศนาให้ท่านฟัง อันว่าบุคคลเกิดมาในมนุสสาโลกทุกวันนี้ คนบาปมากว่าบุญเพราะสันนี้ คนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อย หนักน้อยหนาประดุจดังตาโค ลงไปเกิดในอยู่ในเมืองนรกมากมายยิ่งหนักหนา ประดุจดังขนโค เหตุซะนี้แลจิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ อันว่ามนุษย์ทั้งหลายทุกวันนี้ ถึงจะกระทำบุญให้ทานฟังพระธรรมเทศนาก็น้อยหนักน้อยหนาที่จะให้ชมชื่นเหมือน อย่างไปทำปาณาติบาตนั้นก็หามิได้ อันว่ากิริยาไปทำปาณาติบาตนั้นเถิงว่าจะไกลสักเท่าใดๆ แต่รู้ข่าวว่าบ้านนั้นเขาได้เนื้อได้ปลามากมาย แต่จะพูดกันท่อนั้นก็กลัวเพื่อนบ้านเขาจะได้ยินมาก แต่ก็ตื่นดึกลุกเช้าก็พากันไปดู จะหาคนเฝ้าเฮือน ๑ คนก็หามิได้นี้แล จิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ ถ้าไปกระทำบุญให้ทานเหมือนอย่างไปทำปาณาติบาตนี้ก็จะว่าคนบุญมากกั่วคนบาป เหตุซะนี้แลจิงว่าคนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อยหนักน้อยหนา คนที่ลงไปอยู่ในนรกนั้นมากมายจะคันนะนา(คณนา)มิได้เลยนี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารท่านจิงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท) เป็นภาชนะทองฮองฮับเอารัสสาพระธรรมเทศนาเทิด ตัตถานปัตโต สาโลราชา สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารก็นมัสการทูลถามต่อไปว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแด่พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาทุกวันนี้เหตุซะไหนจิงไม่คือกัน ลางคนก็ฮูปงาม ลางคนก็ฮูปขี้เหร่ ลางคนก็ปัญญาดี ลางคนก็หาปัญญามิได้ ลางคนก็อายุยืนยาว ลางคนก็อายุสั้น ลางคนมั่งมีเข้าของเงินทอง ลางคนก็หาเข้าของเงินทองมิได้ ลางคนลางคนก็เสียงไพเพราะ ลางคนก็เสียงไม่ดี คน ๑๐ จำพวกนี้แล เหตุไหนจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า เขาก็คนแท้ๆ  ทำไมจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า  เกล้าขม่อมสันสงไสยิ่งหนักหนา ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้า ข้า  อัถถา ภะคะวารโย วัจจะนัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น พระพุทธ เจ้าจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อน(มหา)บพิตรพระราชสมภาร อันว่าบุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล ชาติก่อนเขาได้กระทำกุศลต่างๆ กัน อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปอันงาม แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแต่ของดีๆ บริสุทธิ์ เกิดมาในชาตินี้จิงมีฮูปอันงามเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจแก่คนทั้งหลาย อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปขี้เหร่นั้น แต่ชาติก่อนมิได้กระทำบุญให้ทาน ด้วยเขา(ทำบุญให้ทาน)แต่ละทีก็เอาแต่ของเน่าของบูดบ่งาม ตัวกินแล้วจิงเอามาทำบุญให้ทาน เหตุซะนี้แลเกิดมาชาตินี้จิงไม่มีฮูปอันงาม อันว่าบุคคลเกิดมามีปัญญาสลาด แต่ชาติก่อนเขาได้เล่าเฮียนพยัญชนะแลได้เขียนไว้ในพระศาสนา เกิดมาชาตินี้เขาจิงสลาดปัญญาดี อันว่าคนเกิดมาหาปัญญามิได้นั้น แต่ชาติก่อนเขามิได้บวชได้เฮียนแลไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม ไม่ฮู้จักศีล ๕ ศีล ๘ เกิดมาชาตินี้จิงหาปัญญามิได้ จะนับ ๑๐ ก็ไม่ถ้วนไม่ถึง อันว่าคนเกิดมามีอายุยืนยาวนั้น แต่ชาติก่อนเขาได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ไว้ในพระศาสนา เกิดมาชาตินี้ อายุเขาจิงยืนยาว อันว่าคนเกิดมามีอายุสั้นพลันตายนั้น แต่ชาติก่อนมันได้ไปลักเอาทรัพย์เขามากระทำบุญให้ทาน เกิดชาตินี้จิงมีอายุสั้นเกิดแล้วตายหาประหมานมิได้เลย อันว่าคนเกิดมามีเข้าของเงินทองแต่หนุ่มๆ ถึงเถ้านั้น แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแล้วท่านก็เอาทรัพย์ไปฝังไว้ในพระศาสนา ไม่เป็นคนขี้ตระหนี่เหนียวแหน้น เกิดมาชาตินี้เขาจิงมีทรัพย์สินเงินทองมากกั่วคนทั้งหลาย อันว่าคนเกิดมาหาเงินทองมิได้นั้น แต่ชาติก่อนเขาเป็นคนขี้ถะหนี่เข้าของเงินทอง เห็นหมู่บ้านเขากระทำบุญให้ทานแลฟังธรรมเทศนา มันก็เกิดเสยเลยบ่เหลียวดู มันก็เฮ็ดดังหูบ่ฮู้ตาบ่เห็น ถ้ามันจะมาทำบุญให้ทานข้าวน้ำแต่ละที มันเสียดายเงินของมัน เพราะซะนั้น เกิดมาชาตินี้มันจิงเป็นคนทุกข์ไฮ้เข็ญใจหาเข้าของเงินทองจะกิน หาผ้าจะนุ่งหาเกลือจะกับก็หามิได้ อันว่าคนที่เกิดมามีเสียงเพราะเสาะใสนั้น แต่ชาติก่อนเขาได้ให้ฆ้องระฆังแซ่ง(ฉาบ)เป็นทาน เกิดมาชาตินี้จิงมีเสียงไพเราะ  เพราะ เสาะใส อันว่าคนที่เกิดมาเสียงไม่ดีนั้น แต่ชาติก่อนมิได้สร้างฆ้องระฆังไว้ในพระศาสนาเกิดมาชาตินี้เสียงจิงไม่ดีนี้ แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด ตัตถาคะปัตโต สาโรราชา สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงกราบทูลถามต่อไปว่า อันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกเป็นคนกืกนั้นเหตุสันไหนพระพุทธเจ้าข้า  ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตักว่า  อ้อ  ดูก่อนอันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกนั้นฤาบพิตรพระราชสมภาร  แต่ชาติก่อนมันเป็นบ่าวเป็นสาวอยู่ พระภิกษุเดินทางมาขอบิณฑบาตน้ำกินแลน้ำอาบ   มันก็ถือว่ามันอายมันพูดไม่เป็นปากไม่เป็น  มันก็เลยหาบน้ำเดินหนีเสีย  เหตุซะนั้นแลจิงมาบังเกิดเป็นคนกืกอยู่ ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรมนั้นแล  พระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า อันว่าคนเกิดมาหูหนักตาบอ มาแต่เล็กๆ น้อยๆ นั้นเหตุสันไหน ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนที่เกิดมาหูหนักตาบอดนั้น แต่ชาติก่อนมันมาฟังธรรมเทศนา มันมาเถิงโฮงธรรมมาพักศาลาแล้วมันก็ซักซวนเขาพูดต่างๆ เหมือนอย่างบ่มาฟังธรรม คนที่เขาตั้ง(ใจ)ฟังนั้นก็พลอยเสียสติไปด้วย  คำที่เขาพูดกันนั้นแล คนที่เขาพูดกันจิงมาบังเกิดเป็นคนหูหนักตาบอดอยู่ ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม  สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า พระพุทธิเจ้าข้า อันว่าคนที่เกิดมาเป็นขี้กากขี้เจี้ยน(เกลื้อน)ขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้น เป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า  ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร  อันว่าคนเกิดมาที่เป็นขี้กากขี้เฮี้ยนขี้เจี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นฤา แต่ชาติก่อนมันไปเทียวล่อลวง เอาทรัพย์เขามาเป็นของตัวแล้วมันจิงได้มาบังเกิดเป็นคนไม่สมประกอบแลเป็นขี้ กากขี้เจี้ยนขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นแต่จะได้เกิดใช้ชาติอยู่เถิง ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาเป็นข้อยข้าแต่หนุ่มจนเถ้าแก่จนตายนั้นเป็นเหตุซะไหนพระพุทธิ เจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธิเจ้า ข้า สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนเกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนั้นฤา แต่ชาติก่อนมันได้ไปยืมเอาเงินเขามา ไม่หาใช้ไปแทนเขาแล้วมันก็กระทำกาลกิริยาตายเงินเขาสูญแล้ว เหตุซะนั้นแลมันจิงได้เกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนี้แล พระยาพิมพิสารท่านจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด อันว่าบุคคลผู้ใดได้ เป็นหนี้เขาตั้งแต่อัด ๑ ขึ้นไปมิได้หาใช้แทนเขา ถ้าตายจากมนุสสาโลกแล้วก็จะทง(ทรง)ทุกขาเวทนาอยู่ในนรกนั้นประหมานมิได้ เลย ถ้าพ้นจากนรกแล้วก็จะได้มาเกิดเป็นบ่าวเขาอีก ๕ ฮ้อยชาติ อันว่าคนเฮาทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี ที่เกิดมาเป็นบ่าวเขานั้น ชาติก่อนมันเป็นลูกหนี้เขาทั้งนั้น เกิดมาชาตินี้จิงมาเป็นบ่าวเขานี้แล พระยาพิมพิสารจิงสันนิษฐานเข้าใจเทิด สมเด็จพระยาพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียสตินั้นเป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้าข้า ตัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียจิตนั้นลือ แต่ชาติก่อนมันเป็นเจ้าเสน่ดีทำให้ชายหญิงเป็นบ้าแก้ผ้าเสื้อลืมเนื้อลืม กายหลงฮ้องไห้นำ เหตุซะนั้นแลเกิดมาชาตินี้จิงได้เป็นบ้านี้แล ท่านทั้งหลายที่นั่งสัมโมสรชุมนุมในสถานที่นี้ฟังสันนี้เข้าใจเทิด นะปะโตสาโรราชา สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงนมัสการทูลถามว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันว่าบุคคลทั้งหลายหญิงก็ดี ชายก็ดีมีใจใสศรัทธาทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาจะมีผลาอานิสงส์เป็นประการใด   ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิดพระ พุทธิเจ้าข้า ตัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น จิงตรัสธรรมเทศนาว่า ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร ท่านจงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท) เป็นภาชนะทองมาฮับเอารัสสะธรรมเทศนาเทิด อัตตะมาจะสำแดงให้ได้ฟัง อันว่าบุคคลผู้ใดได้มาฟังพระสัทธรรมเทศนาได้บุญ ๑๒ พัน ได้เฮียกกันเทิดได้บุญ ๑๕ พัน ได้สร้างหนังสือไว้ในพระศาสนาได้บุญ ๒ หมื่นพัน สร้างพระพุทธรูปได้บุญ ๑๘ พัน ได้ถวายผ้าพิดานได้บุญ ๑๐ พัน สร้าง  (ล.๘ น.๒) วิหารได้บุญพัน ๑ สร้างวัดได้บุญ ๓ พัน ปลูกต้นโพธิ์ได้บุญ ๔ พัน สร้างกุตติ(กุฏิ)ได้ บุญ ๑๑ พัน สร้างโหวด(โบสถ์)ได้บุญ ๑๕ พัน สร้างถานได้ ๘๐ พัน สร้างศาลา ได้ ๓ หมื่นพัน สร้างตะพาน(สะพาน)ได้บุญหมื่นพัน สร้างเสาทองได้บุญ ๔ พัน สร้างทางเดินได้บุญ ๑๐ พัน สร้างตู้ใส่หนังสือได้บุญ ๑๗ พัน สร้างหอไตรได้บุญ ๓๒ พัน สร้างฆ้องได้บุญ ๑๓ พัน สร้างระฆังได้บุญ ๑๒ พัน สร้างกลองได้บุญ ๙ พัน ให้ผ้าพิดานได้บุญ ๒ พัน ถวายจีวรได้บุญ ๒๐ พัน ทอดกฐินได้บุญ ๔๐๐ พัน ทอดบังสุกุลได้บุญ ๘๐ พัน ทอดผ้าป่าได้บุญ ๒ หมื่นพัน สวดมนตร์ได้บุญ ๑๐ พัน ภาวนาพระไตรลักขณญานได้บุญ ๙ พัน ภาวนาตุรญานได้บุญ ๑๑ พัน รักษาศีลได้บุญ ๑๒ พัน ภาวนาจาตุพรหมวิหารได้บุญ ๑๓ พัน ภาวนานะโมพุทธายะได้บุญ ๑๕ พัน ภาวนาพระธรรมบท ๑ ได้บุญ ๑๗ พัน ภาวนาทุกขัง ได้บุญ ๑๘ พัน ภาวนาอนัตตาได้บุญ ๑๓ พัน ภาวนามะ(อะ)อุ อุอะมะ ได้บุญ ๑๘ พัน สวดมนตร์ฮ้อยทีบ่ท่อจำศีลวัน ๑ จำศีลฮ้อยที บ่ท่อภาวนาพรหมวิหารวัน ๑ บวชลูกเป็นเณรได้บุญ ๔ พัน บวชลูกเป็นพระได้ บุญ ๑๖ พัน บวชตัวเองได้บุญได้ ๔๔ พัน บวชน้องได้บุญ ๑๓ กับ(กัปป์)บวชพี่ชายได้บุญ ๑๔ กัปป์ บวชหลานได้บุญ ๘ กัปป์ บวชโปรดคนอนาถาหาที่เพิ่งบ่ได้ได้บุญ ๓ กัปป์ ผัวบวชเมียได้บุญ๑๒ กัปป์ เมียบวชผัวได้บุญ ๔๐๐ กัปป์ ใส่บาตรให้พระได้บุญ ๑๖ กัปป์ ให้หมากพลูเป็นทานได้บุญ ๒ กัปป์ ให้ข้าวเป็นทานได้บุญ ๒ กัปป์ ให้ข้าวเป็นทานกับเด็กน้อยเลี้ยงควายได้บุญ ๖ พัน ให้ข้าวเป็นทานกับคนเดินทางมาขอได้บุญ ๘ พัน ให้น้ำเป็นทานได้บุญ ๑๒ พัน บอกชาวบ้านใส่บาตรได้บุญ ๑๖ พัน เทียวป่าวฮ้องคนมาทำบุญให้ทานได้บุญหมื่น ๑ ยกมืออนุโมทนาได้อานิสงส์พัน ๑ นี้แล บพิตรพระราชสมภาร อันว่าบุคคลทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาทุกวันนี้ก็มีอานิสงส์อย่างนี้แล ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากประสบกับพระศรีอารย์ ก็ให้อัชชะหา(อุตสาหะ)ทำบุญให้ทานเหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทิดจิง จะได้ประสบกับพระศรีอารย์ในภายภาคครั้งหน้า ถ้าแม่นบุคคลผู้ใดทำบุญได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้ไม่ต้องปรารถนา ก็คงจะได้เห็นพระศาสนาของพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล ท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรประชุมกันในสถานที่นี้ ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากเห็นหน้าพระศรีอารย์แล้วก็ให้อดสาตั้งใจฟังธรรม ให้ทานรักษาศีลจำเริญเมตตาภาวนาเถิงจะได้เห็นหน้าพระศรีอารย์ที่ท่านจะมา ตัด(ตรัสรู้)ในภายภาคหน้านี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารจงสันนิฐานเข้าใจเทิด เฮาจะเทศนาให้ฟัง อันว่าบุคคลใดอดสาทำบุญให้ทานฟังพระสัทธรรมเทศนารักษาศีลสวดมนตร์ภาวนาดัง วิสัชนามาซะนี้ก็คงได้ประสบพบพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล พระยาพิมพิสารถ้าบุคคลผู้ใดอยากพบพระศรีอารย์แล้วก็ให้ตั้งใจทำบุญให้ทานเห มือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทินก็สิ้นศาสนาของเฮาแล้วพระศรีอารย์จะลงมา ตัด(ตรัสรู้)เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปนี้แลบพิตรพระราชสมภารจงตั้งโสตาผาสาด(โสต ประสาท)เป็นภาชนะทองมาฮองฮับเอารัสสาธรรมเทศนาเทิน อัตตะมาจาสำแดงให้ฟังในใจความว่า ครั้ง ๑ ยังมีพระมาลัยองค์ ๑ เกิดที่ก้ำในแขงเมืองลังการนั้น ใจความว่าท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ที่สุดท้ายกั่วพระอรหันต์ทั้ง ๒ แต่มีฤทธิ์เดชเหมือนกันกับพระโมคคัลลาที่หอเหิรเดินอากาศแลดำดินแซกพระสุธา ได้หมดทุกอย่าง ท่านเลยไปโปรดสัตว์ในนรกแลสัตว์ในสวรรค์อย่างเดียวกันกับพระโมคคัลลาเมื่อ วัน ๑ ก็หอขึ้นไปชั้นฟ้าตาวติง(ดาวดึงส์) ตั้งไปไหว้พระเจดีย์มุลละนี(จุฬามณี)ก็ ถึงชั้นตาวติงก็เป็นวันพระก็เหลียวเห็นฝูงเทวดาทั้งหลายมาประชุมฟังธรรม เทศนาพระศรีอารย์ พระมาลัยจิงเข้าไปถามว่าท่านนะฤาชื่อว่าพระศรีอารย์ ๆ จิงบอกว่า อาตมานี้แลชื่อว่าพระศรีอารย์ พระมาลัยจิงถามต่อไปว่าศีลทานการกุศลของท่านนี้ดีอย่างไล(ไร)ธรรมเทศนาของ ท่านดีอย่างไร พระศรีอารย์จิง บอกว่า ถ้าบุคคลผู้ใดได้รักษาศีลฟังธรรมเทศนาแล้ว เฮาก็เปิดประตูนรกให้เห็นสว่างแจ้งแก่ตาโลก พระมาลัยจิงถามว่า พระศรีอารย์ยังนานเท่าใดจิงจะลงไปโปรดสัตว์ในมนุสสโลก พระศรีอารย์จิง ตอบว่าพอสิ้นพระศาสนาของพระพุทธิเจ้าองค์นี้แล้วเฮาจะลงไปตัด(ตรัสรู้)เป็น พระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อเวลาเฮาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วในเมืองมนุสสโลกที่จะมี คนทุกข์ไฮ้เข็ญใจยาจกคนขอกระจอกงอกง่อยหูหนวกตาบอดไม่มีเลย เป็นคนผู้ดีสีสุกมั่งมีทั่วหน้ากันทั้งนั้นแล จะมีต้นไม้กามมะพึกเกิดขึ้น ๔ ต้นทุกมุมเมืองสำฮอย ๑ ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ไปนึกเอาที่ต้นไม้กามมะพึกนั้น ถ้าดอกผลมันตกมาก็กลับกลายเป็นเข้าของแก้วแหวนเงินทองได้ดังความปรารถนาทุก ประการ  เฮาจะเทศนาโปรดสั่งสอนธรรมอันพิเศษและเปิดประตูนรกเสียก็เปิดประตู สวรรค์  และนิรพานให้คนทั้งหลายเข้าบรมสุขามหากษัตริย์นี้และพระมาลัยท่านจง ลงไปในเมืองมนุสสาโลกแล้วให้ท่านไปสั่งสอนเขาด้วยเทิด ถ้าบุคคลผู้ใดอยากได้ประสบพบเฮาแล้ว ท่านก็ไปบอกให้เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอดสาฟังธรรมเทศนาในปี ในเดือนอย่าให้ขาดเทิด ถ้าบุคคลผู้ใดทำได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้แล้วจิงจะได้เห็นศาสนา ของเฮาในภายภาคครั้งหน้าตั้งแต่นี้ต่อไปไม่นานเท่าใดยังอยู่ ๒๕๔๙ พรรษาจิงจะสิ้นพระศาสนาของพระสัมมณโคดมองค์นี้ พระสัทธรรมเทศนาสำแดงมาก็เป็นสาวันนะกานที่บ่ดี สำมุดยุตติกาไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการัจสะนี้ฯฯฯ ลิจจนาแล้วยามแลงแลเจ้าเฮย ตัวใดตกให้ยอ ตัวใดบ่พอให้หาใส่แดเนอ เออได้เขียนหนังสือพระยาพิมพิสารไว้กับศาสนาพระพุทธเจ้า ตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานขออย่าให้มีมารมาประโจนแพ้ได้ด้วยเตชะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้านี้ก็ข้า สาธุ ๆ อนุโมทามิ อันหนึ่งนั้นขอให้ผู้ข้านี้ม้มจากทุกข์จากภัยจากโรคาพยาธิทั้งชาตินี้แลชาติ หน้าตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานก็ข้าเทิน แล้วท่อนี้ก่อนแลเจ้าเฮย

ນິທານປາແດກ ປາສະໝໍ

        ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ตัตตาการา (ล. ตัณหังการ) มีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่าพรหมทัต มีมเหสีพระนามว่าวรุณวดีราชเทวี ปกครองเมืองพาราณสีด้วยทศพิธราชธรรม ยังมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าปาจินคาม ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ มีประมาณ ๓๐๐ หลังคาเรือน มีนายกวานบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่าตาแสนไช มีภรรยาชื่อว่านางบัวไข มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่าท้าวบัวพันชั้น เมื่อท้าวบัวพันชั้นอายุได้ ๑๖ ปี ตาแสนไชก็ตายจากไป หลังจากนั้นนางบัวไขก็ไปสู่ขอนางปัททุมมามาเป็นภรรยาท้าวบัวพันชั้น อยู่กินกันมาได้ ๖ ปีก็ยังไม่มีลูก นางบัวไขจึงบอกให้อธิษฐานขอลูกจากเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยแรงอธิษฐานของนางจึงร้อนไปถึงพระอินทร์ แล้วพระอินทร์จึงทรงพิจารณาหาเทวดาผู้ที่จะสิ้นอายุขัย ก็พบว่ามีเทพบุตรตนหนึ่งซึ่งเป็นหน่อพุทธางกูรโพธิสัตว์กำลังจะสิ้นอายุขัย จะจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ พระอินทร์จึงเสด็จไปเชิญเทพบุตรตนนั้นลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา เทพบุตรตนนั้นก็รับแต่โดยดี และก่อนที่จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์พระอินทร์ได้ส่งเทพธิดา ๔ นางลงไปเกิดพร้อมกัน และได้มอบของวิเศษให้แก่เทพธิดาทั้ง ๔ นางลงไปเกิดด้วยดังนี้คือ ได้มอบงาช้างทิพย์คู่หนึ่งพร้อมทั้งแหวนธำมรงค์ให้แก่นางมาสเทพธิดา มอบกงจักรแก้วให้แก่นางพยฆราชกัญญาเทพธิดา มอบดาบสีคันไชให้แก่นางสีหาราชกัญญาเทพธิดา และมอบฆ้องวิเศษให้แก่นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดา ขณะที่ลงมาเกิดพอถึงกลางท้องฟ้าเทพบุตรและเทพธิดาทั้ง ๕ ตนก็ถูกลมพัดให้ไปเกิดคนละแห่ง กล่าวคือนางมาสเทพธิดาลงไปเกิดในครรภ์ของนางโมลีราชเทวีมเหสีของพระยาตุ้ม วังฟ้าฮ่วนกษัตริย์เมืองราชคฤห์ นางพยฆราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางเสือโคร่ง นางสีหาราชกัญญาเทพธิดาลงไปในท้องของนางราชสีห์ นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางช้างน้ำ นางทั้ง ๔ มีรูปโฉมผิวพรรณงดงามมาก ส่วนเทพบุตรได้ลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา ณ บ้านปาจินคาม เมืองพาราณสี มีนามว่า บุษบา เมื่อท้าวบุษบาอายุได้ ๗ ปีท้าวบัวพันชั้นและนางปัททุมมาก็ตายจากไป ท้าวบุษบาจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่าเพียง ๒ คนโดยมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากจน อยู่มาวันหนึ่งท้าวกำพร้าบุษบาลงไปอาบน้ำที่หนองน้ำเห็นคนตกเบ็ดได้ปลามาก มาย จึงอยากจะตกเบ็ดกับเขาบ้าง จึงไปอ้อนวอนย่าให้หาเบ็ดให้ เพราะความยากจนแม้สักว่ามีดจะผ่าฟืนก็ยังไม่มี ย่าจึงห้ามไว้ แต่ท้าวกำพร้าบุษบาก็ยังอ้อนวอนอยู่ จนในที่สุดย่าก็ไปค้นหาของที่พอจะมีค่าบ้างและได้เห็นกระดิ่งทอง ๓ ลูกจึงเอาไปขอแลกเบ็ดกับเด็กชาวบ้านแล้วท้าวกำพร้าบุษบาก็ไปตกเบ็ดได้ปลาหมอ มากมายแล้วจึงหาบกลับบ้านเอามาทำเป็นอาหารกินที่เหลือก็เอามาทำปลาร้าไว้ เพื่อแลกและขายเลี้ยงชีวิต ในวันหนึ่งได้ฝากพ่อค้าสำเภาไปขายที่เมืองหล้าน้ำ พอไปถึงเมืองหล้าน้ำพ่อค้าเปิดไหปลาร้าเพื่อเอาไปขาย แต่ปลาร้ามีกลิ่นเหม็นมากจึงไม่มีคนซื้อ พอถึงตอนกลางคืนพระอินทร์ได้เอาปลาร้าทิพย์ลงมาจากสวรรค์มาใส่ไว้แทน กลิ่นปลาร้าทิพย์หอมฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง พอวันรุ่งขึ้นพ่อค้าสำเภาเปิดไหแล้วชิมดูปรากฏว่าปลาร้านั้นมีรสชาติอร่อย มากจึงปรึกษากันว่าจะนำไปถวายพระราชาเมืองหล้าน้ำเท่านั้นจึงจะเหมาะสม จึงนำไปถวายพระราชาแล้วกลับมาขายของตามเดิม ฝ่ายพระราชาเมืองหล่าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กเปิดดูแล้วกลิ่นก็หอมฟุ้งตระหลบ อบอวลไปทั่วเมืองแล้วจึงชิมดู ปลาร้ามีรสชาติอร่อยมาก พระราชาเมืองหล้าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กควักปลาร้าออกแล้วให้เอาแก้วแหวนเงิน ทองใส่ไว้แทนและเอาปลาร้าปกปิดไว้ข้างบนแล้วปิดไหไว้ดังเดิม วันต่อมาพวกพ่อค้าขายของหมดแล้วจึงมาทูลลาพระราชาเมืองหล้าน้ำกลับ พระราชาจึงตรัสหยอกล้อเล่นกับพ่อค้าสำเภาว่า ปลาร้าในเมืองนี้มีมากมายไม่ต้องการปลาร้าไหนี้ ให้เอากลับคืนไปให้ท้าวกำพร้าเสีย พ่อค้าสำเภาเข้าใจว่าพระราชาตรัสจริง จึงไม่ได้เปิดดู พอกลับมาถึงบ้านจึงไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาเอาไหปลาร้ากลับไป ท้าวกำพร้าก็มาเอาไปเก็บไว้ที่บ้านโดยไม่ได้เปิดดู จนเวลาผ่านไป ๓–๔ ปี พ่อค้าสำเภาไปขายของที่เมืองราชคฤห์ท้าวกำพร้าก็ฝากปลาร้าไหเดิมไปขาย พอไปถึงเมืองราชคฤห์ก็เอาปลาร้าไหนั้นไปถวายพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วน หลังจากพวกพ่อค้าสำเภาลงไปจากปราสาทพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วนก็ให้พวกมหาดเล็ก เปิดดูไหปลาร้านั้น พอหยั่งมือลงไปประมาณข้อมือหนึ่งก็พบแก้วแหวนเงินทองมากมาย จึงทรงดำริว่าไหปลาร้านี้มิใช่ของคนธรรมดา น่าจะเป็นของคนผู้มีบุญญาธิการ และทรงดำริว่าจะยกนางมาสให้แก่เจ้าของไหปลาร้านั้นจึงประชุมเสนาอำมาตย์แล้ว ให้หมอโหรมาทำนายดูดวงชะตาของเจ้าของไหปลาร้า จึงรู้ว่าท้าวกำพร้าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการและเป็นคู่ครองของนางมาสที่ลงมา เกิดจากสวรรค์ด้วยกัน จึงตัดสินใจยกนางมาสให้โดยให้นางมาสเข้าไปอยู่ในงาช้างทิพย์คู่ที่ลงมาจาก สวรรค์พร้อมกับนางมาสพร้อมด้วยแก้วแหวนเงินทองมากมายแล้ว เมื่อพวกพ่อค้าสำเภามาลากลับเมืองก็ให้พวกพ่อค้าสำเภาเอางาช้างคู่นั้นไปฝาก ท้าวกำพร้าบุษบาเป็นค่าปลาร้า เมื่อพวกพ่อค้าสำเภากลับไปถึงเมืองพาราณสีแล้วก็ไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาแบกเอา งาช้างคู่นั้น ท้าวกำพร้าดีใจมากจึงรีบมาหามงาช้างพร้อมกับย่า แต่งาช้างหนักมากต้องใช้คน ๗–๘ คนจึงจะหามได้ เนื่องจากมีเพียงแค่ ๒ คนคือย่าและหลาน นางบัวไขผู้เป็นย่าจึงให้ท้าวกำพร้าบุษบาอธิษฐานว่าถ้าเป็นผู้ที่มี บุญญาธิการจริงก็ให้ยกงาช้างได้โดยง่าย แล้วท้าวกำพร้าก็อธิษฐานและยกงาช้างนั้นขึ้นบ่าหามไปถึงฝั่งน้ำได้โดยง่าย แต่พอจะหามไปบ้านงาช้างนั้นก็กลับหนักอีก ท้าวกำพร้าจึงอธิษฐานให้งาช้างหมุนเวียนไปในทิศที่จะอยู่แล้วมีความสุขความ เจริญ แล้วงาช้างก็เวียนเคลื่อนไปในด้านทิศเหนือไปหยุดอยู่ตรงระหว่างชะง่อนหิน แห่งหนึ่งก็มืดค่ำพอดี แล้วทั้งย่าและหลานก็เฝ้างาช้างคู่นั้น ด้วยความเหนื่อยและความหิวย่าและหลานก็พากันนอนหลับไป ขณะที่ย่าและหลานนอนหลับอยู่นั้น นางมาสก็ออกจากงาช้างมาเนรมิตกระท่อม เอาอาหารทิพย์ออกมาจัดเตรียมไว้และจุดไฟให้สว่าง ย่าและหลานตื่นขึ้นมาเห็นอาหารก็ไม่ยอมกิน เพราะคิดว่าคนที่จัดเตรียมอาหารไว้ให้นั้นต้องการจะฆ่าหรือไม่ก็ปรับสินไหม จึงนอนหลับ นางมาสก็ออกมาอุ้มเอานางบัวไขและท้าวกำพร้าขึ้นไปนอนบนกระท่อมและห่มผ้าให้ แล้วก็เข้าไปอยู่ในงาช้างตามเดิม วันรุ่งขึ้นย่าและหลานจึงไปเก็บข้าวของที่บ้านเพื่อมาอยู่เฝ้างาช้าง พอมาถึงก็มีคนจัดเตรียมอาหารไว้ให้อีก ด้วยความหิวทั้งย่าและหลานจึงกินจนอิ่มแล้วก็มืดค่ำและนอนหลับไป วันต่อมาท้าวกำพร้าใช้อุบายเพื่อจะแอบดูคนที่มาจัดเตรียมอาหารไว้ให้โดยบอก ให้ย่าไปตักน้ำแล้วตนเองก็แอบซุ่มอยู่พุ่มไม้ พอเห็นนางมาสออกมาจากงาช้างเก็บกวาดกระท่อมอยู่ จึงรีบวิ่งไปจับแขนนางมาสเอาไว้ แล้วถามความเป็นมาทุกอย่างต่อจากนั้นทั้ง ๒ ก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากนั้นมาทั้ง ๓ คนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในกระท่อมกลางป่านั้นโดยไม่ได้ไปขอข้าวปลา อาหารเสื้อผ้ากับชาวบ้านอีกต่อไป
              เวลาผ่านไปหลายเดือน ชาวบ้านปาจินคามไม่เห็นย่าและหลานทั้ง ๒ มาขอข้าวปลาอาหารเหมือนเดิมตั้งแต่ไปอยู่เฝ้างาช้าง จึงได้ส่งคนไปสืบดูจึงรู้ว่าคนทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่และท้าวกำพร้ายังมีภรรยาที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ข่าวความงามของนางมาสก็แพร่กระจายไปถึงพระกรรณของพระยาพรหมทัตว่า ท้าวกำพร้าบุษบาซึ่งอยู่กระท่อมกลางป่ามีภรรยาสวยราวกับเทพธิดา เพราะราคะตัณหาเข้าครอบงำพระยาพรหมทัตจึงอยากได้นางมาสมาเป็นพระเทวี จึงวางอุบายเพื่อจะฆ่าท้าวกำพร้าบุษบา โดยการให้ท้าวกำพร้าบุษบาไปเอาน้ำนมเสือโคร่ง น้ำนมราชสีห์ และน้ำนมช้างน้ำตามลำดับเพื่อเอามาเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งท้าวกำพร้าก็สามารถหามาได้ทุกครั้ง และได้ภรรยามาเพิ่มทุกครั้ง คือนางพยฆราชกัญญา นางสีหาราชกัญญา และนางคชุทกราชกัญญาตามลำดับ เมื่อกำจัดท้าวกำพร้าไม่สำเร็จ พระยาพรหมทัตจึงปรึกษากับเสนาอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเพื่อคิดหาอุบายใหม่ พวกเสนาอำมาตย์จึงกราบทูลให้พระยาพรหมทัตใช้ให้ท้าวกำพร้าไปเยี่ยมญาติที่ ตายไปสู่ปรโลกและให้เอาวัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานด้วย โดยให้มาถึงภายใน ๓ วัน ถ้าไม่ไปก็จะฆ่า ถ้าไปแล้วไม่ได้วัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานก็จะฆ่าเหมือนกัน ด้วยสติปัญญาของนางมาสช่วยคิดกลอุบายให้โดยนางให้ท้าวกำพร้าหาบเอาวัตถุเข้า ของที่เอามาจากงาช้างเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในป่าครบ ๓ วันแล้วจึงหาบออกมา ส่วนนางก็เอาขี้ผึ้งมาปั้นเป็นหุ่นท้าวกำพร้านอนไว้บนกระท่อมและเอาผ้าห่ม ไว้ เมื่อถึงวันที่ ๓ พวกเสนาอำมาตย์ก็มาติดตามข่าวคราวของท้าวกำพร้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเห็นท้าวกำพร้านอนนิ่งอยู่บนกระท่อมเห็นนางทั้ง ๔ เอาหุ่นขี้ผึ้งไปเผาบนกองฟืนแล้วท้าวกำพร้าก็หาบเข้าของออกมาจากป่าแล้วหลง เชื่อแล้วก็พาท้าวกำพร้านำเอาหาบเข้าของไปถวายแก่พระยาพรหมทัต พระยาพรหมทัตก็หลงเชื่อและอยากจะไปเยี่ยมญาติบ้างจึงถามทางไปกับท้าวกำพร้า ท้าวกำพร้าบุษบาจึงหลอกว่าต้องให้คนมัดมือมัดเท้าแล้วให้จุดไฟเผาก็จะไปถึง เพราะบาปกรรมอันหยาบช้าพระยาพรหมทัตถูกโมหะเข้าครอบงำจึงหลงเชื่อคำของท้าว กำพร้าโดยทำตามทุกอย่างและก็ถูกไฟเผาตายในที่สุดพร้อมกับพวกเสนาอำมาตย์ชั่ว ที่ให้คำปรึกษาในการทำชั่ว แล้วพวกเสนาอำมาตย์ที่ดีจึงเสี่ยงทายราชรถเพื่อหาพระราชาองค์ใหม่ แล้วราชรถก็ไปเกยที่กระท่อมท้าวกำพร้า ในที่สุดท้าวกำพร้าบุษบาก็ได้ครองเมืองพาราณสีแทนพระยาพรหมทัต ไพร่ฟ้าประชาชนก็อยู่อย่างสงบสุขร่มเย็น
              กล่าวถึงพระยาสุริยะวงสากษัตริย์เมืองตักสิลานครโกรธเคืองต่อ พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนที่มอบนางมาสไปให้เป็นค่าปลาร้าท้าวกำพร้า เพราะเมื่อครั้งที่ตนแต่งทูตและบรรณาการไปสู่ขอนางมาสไม่ยอมยกให้โดยให้ เหตุผลว่าจะให้อยู่ปกครองเมืองแทน พระยาสุริยะวงสาจึงยกทัพไปเมือง ราชคฤห์เพื่อจะฆ่าพระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วน พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนแต่งทัพออกไปสู้รบแต่ก็แพ้กลับมา จึงให้เชิญพระยาขีปปะเตชา เจ้าแห่งผีแมนตาทอก ซึ่งอยู่ยอดเขายุคันธรมาช่วยรบ แต่ฤทธิ์เดชของพระยาขีปปะเตชากับพระยาสุริยะวงสาเท่าเทียมกันไม่มีใครแพ้ไม่ มีใครชนะ พระยาขีปปะเตชาผีแมนตาทอกจึงบอกให้พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนส่งคนไปเชิญพระยา กำพร้ามาช่วยรบและพระยากำพร้าก็มาช่วยสู้รบและสามารถปราบพระยาสุริยะวงสาได้ โดยพระยาสุริยะวงสาได้ยอมแพ้และได้แต่งเครื่องบรรณาการมาขอขมาแล้วทั้ง ๒ พระองค์ก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน หลังจากบ้านเมืองสงบสุขแล้วพระยากำพร้าก็ลากลับเมือง ต่อมาพระยากำพร้าออกเทศนาสั่งสอนเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำทานรักษาศีล ๕ และเสด็จไปโปรดมนุษย์ตามเมืองต่างๆ ทั่วชมพูทวีป
              ต่อมาพระยากำพร้าได้บุตรธิดา ๔ คน ได้จัดให้อภิเษกสมรสกันระหว่างพี่น้องแล้วมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์โต ซึ่งเป็นลูกของนางมาส และให้พระโอรสองค์รองเป็นอุปราชแล้วพระยากำพร้าบำเพ็ญศีลทานภาวนาตลอดชีวิต แล้วจุติตายไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต



วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ຄຳບູຮານວ່າ "ຫາບບໍ່ໜັກ, ຕັກບໍ່ເຕັມ, ເຄັມບໍ່ຈືດ, ມືດບໍ່ແຈ້ງ" ໝາຍຄວາມວ່າແນວໃດ ?

ຄຳບູຮານວ່າ "ຫາບບໍ່ໜັກ, ຕັກບໍ່ເຕັມ, ເຄັມບໍ່ຈືດ, ມືດບໍ່ແຈ້ງ" ໝາຍຄວາມວ່າແນວໃດ ?
ຫາບບໍ່ໜັກ = ຄືບຸນ ແລະວິຊາຄວາມຮູ້
ຕັກບໍ່ເຕັມ = ຄວາມໂລບ ຢາກໄດ້ບໍ່ມີເຕັມຈັກເທື່ອ ໄດ້ແລ້ວກໍໄດ້ອີກ
ເຄັມບໍ່ຈີດ = ຄຸນງາມຄວາມດີ ທີ່ທຳແລ້ວ.
ມືດບໍ່ແຈ້ງ = ໄດ້ແກ່ຄວາມບໍ່ຮູ້ແຈ້ງ ຫຼືອະວິຊຊາ ແລະຄວາມຫຼົງໄຫຼມົວເມົາ ແລະຄວາມອວດໂຕໂອຫັງ .

ເຊິ່ງອະທິບາຍໃຫ້ໄດ້ເນື້ອຄວາມ ດັ່ງລຸ່ມນີ້

໑. ຫາບບໍ່ໜັກ: ໄດ້ແກ່ບຸນ ຫຼືວິຊາຄວາມຮູ້ຕ່າງໆ ທີ່ມີຢູ່ຢ່າງບໍ່ຈັກໝົດສິ້ນ ຄົນຜູ້ສະແຫວງຫາເອງ ກໍບໍ່ຈຳເປັນຕ້ອງແບບຫາບ ເມື່ອໄດ້ມາແລ້ວກໍບໍ່ໄດ້ແບກ ຫາບຫຼືຖືໄວ້ກະບໍ່ໜັກ ມີແຕ່ອຸດົມສົມບູນເພີ່ມພູນຂຶ້ນໃນໃນຊີວິດ ແນວຄິດແລະການກະທພຂອງເຂົາຄົນນັ້ນ, ກາຍເປັນຜູ້ມີມັນສະໝອງ ແລະອຸດົມສົມບູນພອກພູນປັນ ຍາຂຶ້ນຕື່ມຊັກໃຊ້ ເມື່ອເຖິງຄາວເອົາອອກມາໃຊ້ກໍໃຊ້ໄດ້ເລີຍ ບໍ່ມີອັນຍາກອັນຊາ ຫຼືຜູ້ມີບຸນບຸນນັ້ນມັນກະຢູ່ຄູຕົວເຮົາບໍ່ໜັກບໍ່ໜາ ຜູ້ມີບຸນກໍເບົາກາຍເບົາໃຈ ເມື່ອໄພມາເຖິງບຸນນັ້ນກໍປົກປ້ອງຄຸ້ມຄອງໄດ້ ສະນັ້ນຄວາມຮູ້ວິຊາການ ແລະບຸນຍະສົມພານນີ້ຫາກບໍ່ໜັກ.

໒. ຕັກບໍ່ເຕັມ: ໄດ້ແກ່ຄວາມໂລບ ອັນເປັນຄວາມຕ້ອງຢາກໄດ້ໂດຍບໍ່ມີທີ່ສິ້ນສຸດ ມະນຸດເຮົາຍິ່ງມີ ຍິ່ງຢາກໄດ້ໂດຍບໍ່ມີເມືອງພໍ ອັນນີ້ເຮົາບໍ່ຈຳເປັນຕ້ອງອະທິ ບາຍໃຫ້ຫຼາຍ ເພາະປະສົບການທີ່ພວກເຮົາເຈົ້າທ່ານປະສົບພົບພໍ້ກັນທຸກວັນນີ້ ກໍຫຼາຍເກີນທີ່ຈະບັນຍາຍແລ້ວ.

໓. ເຄັມບໍ່ຈືດ: ໄດ້ແກ່ຄຸນງາມຄວາມດີ ທີ່ບຸກຄົນໄດ້ທຳໄວ້ດີແລ້ວ ຍ່ອມສາມາດຄົງທົນຢູ່ຢ່າງນັ້ນເໝືອນດັ່ງເກືອຮັກສາຄວາມເຄັມສັນໃດ, ເຄັມໃນທີ່ນີ້ ໝາຍເຖິງ ຄົນທີ່ດີ ແລະຄົນທີ່ທຳບຸນໄວ້ແລ້ວ ແມ່ນສະພາວະການຈະປ່ຽນແປງໄປເຊັ່ນໃດ ຄົນຜູ້ນັ້ນຈະບໍ່ອັນຕະຣະທານໄປກັບສະພາບການ ປ່ຽນແປງ ດັ່ງກັບເກືອ ທີ່ຢູ່ໃນຖົງ ກັບເກືອທີ່ແທລົງຈອກນຳ້ແລ້ວ ມັນກໍຍັງມີຄວາມເຄັມຢູ່ ຫຼາຍຫຼືນ້ອຍ ກໍຢູ່ທີ່ປະຣິມານຂອງເກືອ ແລະນຳ້.

໔. ມືດບໍ່ແຈ້ງ: ໄດ້ແກ່ຄວາມບໍ່ຮູ້ແຈ້ງ ຫຼືອະວິຊຊາ ແລະຄວາມຫຼົງໄຫຼມົວເມົາ ແລະຄວາມອວດໂຕໂອຫັງ ນອກຈາກບໍ່ສາມາດທີ່ຈະໃຫ້ຜູ້ນັ້ນ ເຫັນແຈ້ງໃນທັມ ໃນຊີວິດແລ້ວ ຍັງຕ້ອງທຳລາຍໃຫ້ຄົນຜູ້ນັ້ນຕ້ອງເສື່ອມຊາມ ແລະອັນຕະຣະທານໄປໃນທີ່ສຸດໄດ້, ບໍ່ສະເພາະແຕ່ຕົວເຂົາ ຄອບຄົວ ສັງຄົມ ແລະປະເທດຊາດບ້ານເມືອງ ກໍຈັກຕ້ອງຕົກຕ່ຳລຳພອຍໄປກັບຄວາມມືດບອຂອງເຂົາດ້ວຍ.

- ທັງໝົດນີ້ ຈຶ່ງເປັນອະມະຕະວາຈາ ທີ່ຄົນລາວບູຮານໄດ້ຝາກໄວ້ຢ່າງປິດສະໜາ ສອນລູກສອນຫຼານລາວໃຫ້ການເປັນຄົນມີຄວາມຮູ້ປົກປ້ອງຕົນ ຄົນ ແລະຊາດມາໄດ້ເຫິງນານ ຫາກຄົນປັດຈຸບັນຍັງບໍ່ທັນມອງເຫັນຄຳບູຮານເລັກໆນ້ອຍນີ້ວ່າເປັນຂອງດີແລ້ວ ລາວເຮົາກໍຈະກາຍເປັນພຽງແຕ່ຊື່ປະດັບໂລກ ໂດຍປາສະຈາກຄຸນນະໂຫຍດໃດໆ ຫາກຄົນລາວຍັງເຫັນວ່າຄົນບູຮານ ແລະຄະຕິບູຮານເປັນຂອງລ້າສະໄໝແລ້ວ ບໍ່ນຳເອົາສິ່ງເລົ່ານີ້ມາວິໄຈ ວິຈານ ເພື່ອພັດທະນາຕົນ ຄົນ ແລະຊາດແລ້ວ ມີແຕ່ປ່ອຍໃຫ້ອະວິຊາ ຕັນຫາ ແລະຄວາມມືດບອດເຂົ້າຄອບງຳ ຊາດລາວເຮົາຄົງຈະເປັນສິ່ງທີ່ຊາດອື່ນດູຖູກເອົາໄວ້ ແລ້ວມີແຕ່ຄຽດແຕ່ບໍ່ຈັກຄິດ ຊີວິດກໍເສົ້າໝອງ ແລ້ວລະນານວນນາ.

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດ ວັນນະກັມແລະຄວາມເຊື່ອລາວພາກໃຕ້

- ຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດ ສຶກສາໄດ້ຈາກວັນນະກັມທ້ອງຖິ່ນລາວທາງພາກໃຕ້ ເລື່ອງພະລັກພະລາມ, ແຕ່ຄວາມເຊື່ອ ແລະວັນນະກັມປະເພດພື້ນສືບທີ່ຊາວບ້ານເລົ່າຂານສູ່ລູກສູ່ຫຼານເລົ່າຕໍ່ກັນມາກໍເປັນຕາຟັງໄປອີກແບບໜຶ່ງ, ການເລົ່ານີ້ ຂ້າພະເຈົ້າໄດ້ຮັບຟັງຈາກແມ່ ບູ່ ອຸ່ນວົງ(ໂຊຕິທອນ) ຈື່ແນ່ບໍ່ຈື່ແນ່ດັ່ງນີ້:

"ທ້າວລາບພະນາສວນ ໄດ້ມາຕໍ່ສູ້ກັບພະລັກພະລາມ ທີ່ນຳ້ຂອງແຖວມະຫານະທີສີທັນດອນ, ເຊິ່ງແຕ່ກ່ອນສະ ຖາທີ່ນີ້ບໍ່ມີດອນຫຼາຍ ເມື່ອລາບພະລັກພະລາມມາເຖິງມະຫານະທີສີທັນດອນແລ້ວ ທ້າວພະລາມຈຶ່ງຍິງສອນລົງ ກາງແມ່ນຳ້ ຈຶ່ງເກີດເປັນດອນ ແລ້ວທັງສີ່ສີວິດ ຄືພະລັກ, ພະລາມ, ນາງສີດາຈັນ ແລະທະຫານເອກທ້າວຫະນຸ ມານກໍໄປຍັງດອນນັ້ນ ຮຽກວ່າດອນສອນ, ທ້າວພະລາມກໍໄດ້ນີຣະມິດຜາສາດຂຶ້ນໜຶ່ງຫຼັງເພື່ອປະທັບ, ບໍ່ນານ ເທົ່າໃດ, ທ້າວລາບພະນາສວນກໍໃຫ້ທະຫານຂອງຕົນຕາມມາ ມີພວກຍັກ, ພວກຄຸດ, ພວກຜີເສື້ອຕາມມາເຖິງ ກໍມີການຮົບກັນທີ່ນັ້ນ ທ້າວພະລາມກໍສັ່ງໃຫ້ ທ້າວຫະນຸມານໄປສູ້ຮົບ ທ້າວຫະນຸມານໄດ້ຂ້າທະຫານຂອງລາບ ພະນາສວນຕາຍຈົນໝົດ ເຮັດໃຫ້ທ້າວລາບພະນາສວນໃຈຮ້າຍຈຶ່ງນິລະມິດໃຫ້ນຳ້ຂອງຍຶ່ງນອງຂຶ້ນຖ້ວມດອນນັ້ນ ນຳ້ຍຶ່ງນອງຂຶ້ນເທົ່າໃດ ກໍບໍ່ອາດຖ້ວມດອນ ແລະຜາສາດນັ້ນໄດ້ ທ້າວລາບພະນາສວນຈຶ່ງລະດົມກຳລັງຂອງຕົນ ຂຶ້ນມາມີພວກສັດສາວາສິ່ງ ແລະຍັກມາຮົບທ້າວພະລາມ ກໍຖືກຂ້າຈົນຕາຍ ນຳ້ຍິ່ງຍຶ່ງນອງຂຶ້ນ ເພາະທ້າວລາບພະ ນາສວນໄດ້ເຮັດຝາຍຕັນແມ່ນຳ້ຂອງ ທ້າວພະລາມໄດ້ສັ່ງໃຫ້ທ້າວກະນຸມານໄປທຳລາຍຝາຍນັ້ນ ທ້າວຫະນຸມານ ກໍໄປທຳລາຍຝາຍກັນນຳ້ນັ້ນ ຈຶ່ງກ່າຍເປັນຄອນແກ້ງໃນເຂດສີທັນດອນ ແຕ່ຍ້ອນວ່າທ້າວຫະນຸມານໄປເຫັນນາງ ມັດສາ(ປາມັດສາ) ງາມຫຼາຍຈຶ່ງ ຫຼົງຮັກມົວແຕ່ກ້ຽວພາລາສີກັບນາງມັດສາ ຈຶ່ງບໍ່ສາມາດທຳລາຍກຳແພງຝາຍ ໃຫ້ໝົດສ້ຽງ, ເຖິງປານນັ້ນນຳ້ກໍລົດລົງບໍ່ຖ້ວມດອນໄດ້ ທ້າວລາບພະນາສວນຈຶ່ງຮ້າຍແຮງຂຶ້ນ ຈຶ່ງໄປຂົນເອົາພູ ເອົາໄມ້ລົງມາຖິ້ມໃສ່ດອນນັ້ນ ຫວັງທຳລາຍພະລັກພະລາມໃຫ້ຕາຍ ແຕ່ກໍທຳຮ້າຍບໍ່ໄດ້ ເພາະທ້າວພະລັກໄດ້ເອົາ ສອນກວັດແກວ່ງພູເລົ່ານັ້ນໄປຕົກທີ່ອື່ນໝົດ ຕົກລົງນຳ້ ກໍເກີດເປັນດອນ ມີຮອດ ໔.໐໐໐ ດອນ, ຕົກລົງດິນ ກໍກາຍເປັນພູ ສະນັ້ນໃນດອນໂຂງ ຈຶ່ງມີພູເຂົາຫຼາຍເຖິງ ໙໙ ໜ່ວຍ(ຕາມການບອກເລົ່າ ແລະຄວາມເຊື່ອຂອງ ຊາວດອນໂຂງ) ສ່ວນສອງຝັ່ງແມ່ນຳ້ ຂອງລຽບດອນໂຂງກໍເຕັມແຕ່ພູ.

- ສົງຄາມລະຫວ່າງລາບພະນາສວນ ໄດ້ສູ້ກັນຢູ່ທີ່ນັ້ນ ເຮັດໃຫ້ທະຫານຂອງລາບພະນາສວນຕາຍ ກອງອະເນກ ນອງ ໃຫຼໄປຄ້າງທີ່ຕາດຄອນ ຈຶ່ງຮຽກວ່າ "ລີ່ຜີ".

- ໃນຂະນະນັ້ນເອງ ເມື່ອທ້າວພະລັກ ຕໍ່ສູ້ຊ່ວຍສົງຄາມລະຫວ່າງສັງຄີບພະລີຈັນ, ຢູ່ນັ້ນ ກໍໄດ້ຖືກສອນທີ່ ຝາຕີນ ເກີດຄວາມເຈັບປວດທໍຣະມານ ເອົາຢາຫຍັງປົວບໍ່ໄດ້ ໝໍຢາກໍບອກວ່າ "ຫາກຈະປົວແກ້ຣິດສອນນີ້ໄດ້ ມີຈ້ອງໄປເອົາຕົ້ນ ແລະຮາກຫົວລີງມາປະສົມຢາ" ເມື່ອໝໍຢາບອກວ່າໄປເອົາຮາກ ແລະຕົ້ນຫົວລິງມາປະສົມຢາ ຫະນຸມານຈຶ່ງຂັນອາສາໄປ ພຣະລັກ-ພຣະຣາມ ຈຶ່ງໃຫ້ທ້າວຫະນຸມານໄປຫາຮາກຢານັ້ນ ແຕ່ວ່າຫາກຈະບອກວ່າ ຕົ້ນຫົວລີງ ກໍຢ້ານວ່າທ້າວຫະນຸມາຄຽດ ຈຶ່ງບອກເປັນໄນຍະປິດສະໜາວ່າ  "ໄປເອົາຕົ້ນແລະຮາກຫົວເໝືອນ" ໃຫ້ຫາມາກ່ອນຕາເວັນຕົກດິນ ທ້າວຫະນຸມານໄປຫາຕົນຫົວເໝືອນ ທົ່ວປ່າໄມ້ໃນໂລກກະບໍ່ເຫັນຕົ້ນຫົວເໝືອນ ຈຶ່ງໄປຫາຮອດປ່າຫິມມະພານ ທ້າວຫະນຸມານຫາຕົ້ນຫົວເໝືອນທົ່ວປ່າຫິມມະພານກໍບໍ່ມີ ຈົນຕາ ເວັນຈະພົບຄ່ຳ ໃກ້ຈະຕົກດິນແລ້ວແລ້ວ ຈຶ່ງໄດ້ຫອບເອົາທັງພູມາທັງພູ ເມື່ອເອົາມາແລ້ວຈຶ່ງໃຫ້ໝໍຢາໄປເບິ່ງ ບາດແລ້ວແມ່ນ ຕົ້ນຫົວລິງ ທ້າວຫະນຸມານຈຶ່ງຮ້າຍວ່າເປັນຫຍັງບໍ່ວ່າຕົ້ນຫົວລິງ ພະລັກບອກວ່າຢ້ານຫະນຸມານຄຽດ ເມື່ອເອົາຮາກຫົວລິງໃສ່ແລ້ວ ບາດແຜຂອງພະຣາມຈຶ່ງເຊົາ ພູນ້ອຍໜ່ວຍນັ້ນຈຶ່ງເກີດເປັນພູປັດຈຸບັນຮຽກ ພູໝາກຕ້ອງ ຕໍ່ມາເກີດນໍ້າຖ້ວມໃຫຍ່ ແລະເຮັດໃຫ້ພູໝາກຕ້ອງເພລົງ ຕົ້ນແບ່ງອອກເປັນດອນເຫຼັກໄຟ ຕົ້ນໄມ້ຕົ້ນໜຶ່ງເຊິ່ງຮຽກວ່າຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດ ໄດ້ໃຫຼໄປເປີະຄ້າງທີ່ຫົວຫາດຄອນພຣະເພງ ເປັນຕົ້ນໄມ້ສັກສິດ  ຄົນທັງຫຼາຍຮຽກວ່າຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດ ຢູ່ຫົວຄອນພະເພງນັ້ນເທົ່າບັດນີ້.
ຂຽນບັນທຶກໂດຍ: ພຣະຄຣູເນືອງພິລັກ ໂຊຕິທອນ, ວັດວິຈິດທັມມາຣາມ ບ້ານວຽງຈະເຣີນ ເມືອງໄຊເຊດຖາ ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນ.

ອັຕຖະຣົສ (ຣົສຂອງວັນນະກັມລາວ)

- ວັນນະກັມທີ່ເປັນອັມມະຕະ ປະກອບມີ 9 ຣົສ ເຊິ່ງຮຽກວ່າອັຕຖະຣົສ ຫຼືຮຽກເປັນບົດມີ 9 ບົດດັ່ງນີ້.
1.ຣົສຮັກ
2.ຣົສໂສກ
3.ຣົສກ້າຫານ
4.ຣົສອັສຈັຣຍ໌.
5.ຣົສຕລົກ.
6.ຣົສໜ້າຢ້ານກົວ.
7.ຣົສຣະຫ້ອຍອ່ອນຊອນ.
8.ຣົສກຽດຊັງ.
9. ຣົສຄຽດແຄ້ນ.
(ຄັດຈາກໜັງສືເຣື່ອງຫານສ້າງຫໍກອງ ແລະກອງ ຂອງພຣະຄຣູເນືອງພິລັກ ໂຊຕິທອນ ພິມປີ 2007).
- ວັນນະກັມລາວບູຮານ ປະກອບມີວັນນະກັມຫຼາຍປະເພສ ແລະລະປະເພສມີຫຼາຍຣົສ, ບາງປະເພສ, ມີໜຶ່ງຣົສ, ສອງຣົສ, ສາມຣົສກໍມີ ເຊັ່ນຕົວຢ່າງເຣື່ອງຕລົກຊວນຫົວ ປະເພດນິທານກ້ອມ ເປັນວັນນະກັມທີ່ມີຣົສດຽວ ຫຼືສອງ, ສາມຣົສເທົ່ານັ້ນ, ແຕ່ມີວັນນະວັນນະກັມບູຮານລາວຫຼາຍປະເພສ ແລະຫຼາຍເຣື່ອງ ແມ່ນແຕ່ງຂຶ້ນພາຍໃຕ້ເຣື່ອງລາວທີ່ມີເຄົ້າໂຄງມາຈາກນິທານທັມມະບົດ ຈາກພຣະໄຕຣປິດົກ ເຊິ່ງຮຽກວ່າວັນນະກັມທາງສາສນາ ຫຼືຮຽກວ່າວັນນະກັມລາວ ຫຼືວັນນະຄະດີລາວ ທີ່ອ້າງອີງເຣື່ອງລາວຈາກສາສນາ ອັນເປັນອະດີດຊາດຂອງພຣະໂພທິສັດ ເຊິ່ງຮຽກວ່າຊາດົກ.
- ວັນນະກັມລາວບູຮານເຫຼົ່ານີ້ ທີ່ຖືວ່າເປັນອັມມະຕະທີ່ສຸດ ໄດ້ແກ່ໜັງສືວັນນະກັມສັງສິນຊັຍ, ກາຣະເກດ, ສຸຣິວົງ, ແຕງອ່ອນ, ກໍ່ຳກາດໍາ, ທ້າວກໍາພ້າຕ່າງໆ ວັນນະກັມລາວທີ່ໂດດເດັ່ນຄົບທຸກໆຣົສ ແລະເປັນອັມມະຕະທີ່ສຸດໄດ້ແກ່ເຣື່ອງພຣະເວສສັນດອນ ຫຼືເວສສັນຕຣະຊາດົກ ເປັນວັນນະກັມອັມມະຕະ ແລະເປັນວັນນະກັມສຸດຍອດ ທີ່ນິຍົມທີ່ສຸດໃນຫົວເມ່ືອງລາວ ແລະຊຸມຊົນລາວ ນັບຕັ້ງແຕ່ອະດີຕຮອດປັດ ຈຸບັນ ເຊິ່ງທາງຣາຊະການໃນຣາຊະອານາຈັກລ້ານຊ້າງ ໃນອະດີດບັນຍັດໄວ້ເປັນສ່ວນໜຶ່ງຂອງຮີດ 12 ອັນເປັນແມ່ບົທ(ບໍຣິບົທ)ແຫ່ງວັດທະນະທັມລາວຕລອດມາເທົ່າບັດນີ້.
- ສະນັ້ນ, ເຮົາຈຶ່ງເຫັນວ່າວັນນະກັມລາວບູຮານ ມີຫຼາຍວັນນະກັມທີ່ເປັນມໍຣະດົກຂອງຊາດ, ວັນນະກັມພຣະເວສສັນດອນຊາດົກ ຖືວ່າເປັນວັນນະກັມອັມມະຕະ ແລະເປັນວັນນະກັມຂອງຊາດລາວ ມາເປັນເວລາຍາວນານທີ່ສຸດ ແລະເປັນວັນນະກັມທີ່ສຸດຍອດທີ່ສຸດ ມີຄົບທຸກຣົສຊາດຕາມທີ່ກ່າວໄວ້ແລ້ວ.

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ດ້ວຍເຫດໃດ ຍອດຊໍ່ຟ້າສິມວັດຊຽງທອງຈຶ່ງມີ ໑໕ ຍອດ

ຄວາມເປັນມາຫຍໍ້ຂອງສິມວັດຊຽງທອງ
ສີມ(ພັດທະສີມາ)ວັດຊຽງທອງ ເປັນສຸດຍອດສີລະປະລ້ານຊ້າງ ສະກຸນຊ່າງຫຼວງພຣະບາງທີ່ເກົ່າແກ່ ແລະຍັງຫຼົງເຫຼືອໃຫ້ສຶກສາ ທຸກຢ່າງຍັງສົມບູນທີ່ສຸດ, ສ້າງຂຶ້ນເມື່ອ ພ.ສ ໒໑໐໒-໐໓ ສະໄໝພຣະເຈົ້າໄຊຍະເຊດຖາທິຣາດ ລັກສະນະ ແລະສະຖາປັດຕະຍະກັມທີ່ເຫັນປັດຈຸບັນໄດ້ຮັບການບູຣະນະປະຕິສັງຂອນຂຶ້ນ ໂດຍຄົງຮູບເດີມໄວ້່ ໃນສະໄໝຂອງພຣະບາດສົມເດັດພຣະເຈົ້າມະຫາຊີວິດສີສະຫວ່າງວົງ ໃນ ພ.ສ ໒໔໗໑ ແລະໃນສະໄໝຂອງພຣະບາດສົມເດັັດພຣະເຈົ້າຊີວິດສີສະຫວ່າງວັດທະນາກໍມີການປູຣະນະ ອີກເລັກນ້ອຍ ຈົນຮອດສະໄໝປັດຈຸບັນກໍມີການປູຣະນະ.

ກ່ຽວກັບຍອດຊໍ່ຟ້າ
ຍອດຊໍ່ຟ້າຖືວ່າສະຖາປັດຕະຍະກັມສີລະປະລາວ, ສິມວັດຊຽງທອງນັບວ່າມີລັກສະນະໂດດເດັ່ນທາງດ້ານສີລປະຫຼາຍດ້ານ ບ່ໍວ່າຊິແມ່ນສີມ, ເອງສະຖາປັດຕະຍະກັມອື່ນໆ ທີ່ມີລັກສະນະພິເສດກວ່າທີ່ອື່ນໝົດ ດ້ານສີລະປະຈິຕກັມກໍເຊັ່ນກດຽວກັນ.

- ສິ່ງທີ່ໂດດເດັ່ນສຸດນັ້ນແມ່ນ "ຍອດຊໍ່ຟ້າ" ສິມ, ສາລາໂຮງທັມ ແລະສະຖາປັດຕະຍະກັມອື່ນໆໃນໃນລາວ ຫຼືນອກດິນລາວໃນປັດຈຸບັນນັ້ນ ຫາກມີຍອດຊໍ່ຟ້າແລ້ວ ນັ້ນຄືສະຖາປັດຕະຍະກັມລາວ, ສະນັ້ນປະເພນີການສ້າງຍອດຊໍ່ຟ້າໃສ່ຫັຼງຄາສະຖາປັດຕະຍະກັມອື່ນໆ ໃນລາວ ຈຶ່ງຖືວ່າເປັນສິ່ງສຸດຍອດແຫ່ງສິລປະ, ປະເພນີການສ້າງຍອດ ຊໍ່ຟ້າໃນລາວ ສ່ວນຫຼາຍຈະເຫັນຍອດຫຼາຍສູງສູດພຽງ ໙ ຍອດ ລົງມາຈົນຮອດຍອດດຽວ.

- ການສ້າງຍອດຊໍ່ຟ້າໃນອະດີດ ໙ ຍອດນັ້ນ ແມ່ນມີອະພິສິດແຕ່ພຣະມະຫາກະສັດ ແລະອັກຄະມະເຫສີເທົ່ານັ້ນ ສ່ວນເຊື້ອພຣະອົງອື່ນ ແລະຂ້າຣາຊະບໍຣິພານຮອງລົງມາ ຈົນຮອດສົມເດັດພຣະສັງຄະຣາດ ຈະສ້າງຍອດຊໍ່ຟ້າໄດ້ແຕ່ພຽງ ໗ ຍອດ, ຂ້າຣາຊະການຊັ້ນສາມັນຕ່ຳລົງມາສ້າງໄດ້ ໗ ຍອດນັບແຕ່ເຈົ້າເມືອງນ້ອຍ ແລະພຣະສົງຜູ້ເປັນເຈົ້າ ຄະນະເມືອງສ້າງໄດ້ ໕ ຍອດ, ເຈົ້າຄະນະຕາແສງ ແລະເຈົ້າອະທິການວັດ ເຈົ້າຂຸນມູນນາຍສ້າງໄດ້ ໓ ຍອດ ສ່ວນສາມັນຊົນຄົນທັມມະດາ ສ້າງໄດ້ ໑ ຍອດ; ແຕ່ດ້ວຍເຫດໃດ ສິມວັດຊຽງທອງ ຈຶ່ງມີ ໑໕ ຍອດ ລະບຸດສະບົກອີກ ໒ ລະ.

- ນັ້ນມັນຍ່ອມມີຄວາມໝາຍ ແລະທີ່ມາ, ການທີ່ສິມວັດຊຽງທອງມີຍອດຊໍ່ຟ້າ ໑໕ ຍອດ ແລະບຸດສະບົກອີກ ໒ ນັ້ນໝາຍເຖິງຄວາມເຊື່ອສູງສຸດອັນມີທີ່ມາໃນຄວາມເຊື່ອຂອງ ສາສນາພຣາມ ແລະສາສນາພຸດປົນກັນ.

- ຍອດຊໍ່ຟ້ານີ້ ມີຄວາມໝາຍເຖິງພູເຂົາພຣະສຸເມຣຸ ຫຼືເຂົາພຣະສຸເມນ ຫຼືເຂົາພຣະເມນ-ພຣະເມມກໍຮຽກ, ທີ່ຮອບລ້ອມດ້ວຍ ເຂົາສັດຕະບົວຣິພັນອີກ ໗ ຊັ້ນ, ເຮົາຈະເຫັນຕຳແໜ່ງຍອດສຸດຂອງຍອດຊໍ່ຟ້າ ເປັນເຂົາພຣະສຸເມຣຸ ຄ້າຍປາສາດ, ແລະມີປະຕູກົງກາງ ອັນໝາຍເຖິງປະຕູທັງ ໔, ແລະແວດລ້ອມດ້ວຍເຂົາສັຕຕະບົວຣິພັນ ຄຳວ່າ ສັຕຕະບົວຣິພັນນັ້ນ ມີຄວາມໝາຍວ່າ "ສຕຕ" ເປັນພາສາປາລີ ໝາຍເຖິງ "ເຈັດ" ບົວຣະພັນອາດໝາຍເຖິງອ້ອມຮອບ, ນອກຈາກນັ້ນແລ້ວ ເຮົາຍັງເຫັນບຸດສະບົກ ທີິສູງອີກ ໒ ຕັ້ງອ້ອມເຂົາສັດຕະບົວລະພັນອີກ ນັ້ນໝາຍເຖິງມະຫາທະວີບທັງ ໔ ອັນອ້ອມຮອບໄປດ້ວຍມະຫາສະໝຸດສີທັນດອນອີກອັນໝາຍເຖິງຫຼັງຄາທັງ ໔ ດ້ານຂອງສິມ ແຕ່ຮູບທີ່ເຮົາເຫັນດພັດເຫັນພຽງດ້ານດຽວ ຍອດຊໍ່ຟ້ານີ້ ຈຶ່ງເປັນການຈຳລອງເຂົາສັດຕະບົວຣິພັນ ຫຼືເຂົາພຣະເມຣຸມາສພ່າເຄິ່ງ ເຂົາພຣະສັຕຕະບົວຣິພັນນັ້ນ ຕາມຄວາມເຊື່ອຂອງ ສາສນາພຣາມນັ້ນ ມີພຣະອານນົນໜູນໄວ້ຢູ່ ຄົງໝາຍເຖິງຕົວສິມເປັນຕົວແທນຂອງປາອານົນດ ອັນວ່າປາອານົນນັ້ນ ນອນໝູນໂລກອັນນີ້ຢູ່ຊົ່ວກັບຊົ່ວກັນ ຈຶ່ງມີຄຳອະທິບາຍເຣື່ອງແຜ່ນດິນໄຫວວ່າ "ປາອານົນຕິງຕົວຈຶ່ງເຮັດໃຫ້ແຜ່ນດິນໄຫວ".
.
- ແຕ່ຄວາມໝາຍທາງສາສນາພຸດນັ້ນ ຍອດຊໍ່ຟ້າອາດໝາຍເຖິງສະຫວັນ ສ່ວນທີ່ເປັນນເຈັດຊັ້ນນັ້ນອາດໝາຍເຖິງມະຫາຈັກກະວານອ້ອມຮອບ, ແຕ່ຢ່າງໃດກໍຕາມດັ່ງທີບອກ ແລ້ວ ສະຖາປັດຕະຍະກັມລາວນັ້ນຈະມີຍອດຊໍ່ຟ້າອັນເປັນສຸດຍອດສະຖາປັດຕະຍະກັມເອກະລັກລາວ, ເຊິ່ງສິລປະສະຖະປັດຕະຍະກັມຊາດອື່ນບໍ່ມີ ຫາກມີຍອດຊໍ່ຟ້າ ກໍບໍ່ຢູກົງການອາຄານ ເຊັ່ນລາວເຮົາມີຍອດຊໍ່ຟ້າ, ມໃບຣິກາ, ຫາງໂຫງ ຍອດຊໍ່ຟ້າອາດເປັນຄະຕິທາງພຸດທະສາສນາ ອັນໝາຍເຖິງສະຫວັນຊັ້ນທີ ໗ ກໍເປັນໄດ້, ແຕ່ຂອງໄທຍ໌ ນັ້ນມີຍອດຊໍ່ຟ້າ ໃບຣິກາ ຫາງໂຫງເຊັ່ນກັນ ອັນວ່າ ຍອດຊໍ່ຟ້າຂອງໄທຍ໌ນັ້ນ ເຂົາຈະຖືເອົາ ຍອດທີິ່ລາວເຮົາຮຽກວ່າ "ໂງ່".

- ເຂົາສັດຕະບົວຣິພັນ ຫຼືເຂົາສັດຕະບົວຣະພັນໃນຄະຕິຄວາມເຊື່ອຂອງສາສນາພຸດແບບລາວນັ້ນ ຍອດສຸດໝາຍເຖິງ "ສະຫວັນ" ສ່ວນຍອດຂ້າງລະ ໗ ຍອດນັ້ນ ໝາຍເຖິງສັຕຕະບົວຣິພັນ ອັນເປັນຮູບຕັດຂອງມະຫາຈັກກະວານ, ສ່ວນບຸດສະບົກ ໒ ຍອດນັ້ນໝາຍເຖິງ ກຳແພງຈັກກະວານອັນເປັນທີຢູ່ຂອງເທບເທວານັ້ນເອງ
ສິມ ວັດວິຊຸນ

ຄຸດແລະນາກ ວັດທະນະທັມສອງແຫຼ່ງມອງໃນດ້ານຄວາມເຊື່ອ


- ວັດທະນະທຳສອງແຫຼ່ງສະທ້ອນໃຫ້ເຫັນສາຍພົວພັນຄວາມເຊື່ອ ສາສນາ ວັດທະນະທຳ ແລະການສ້າງຕັ້ງຊຸມຊົນຂອງຄົນຜູ້ເປັນເຈົ້າຂອງສອງແຫ່ຼງພູມສາດ ແລະວິວັດທະນາການທາງວັດທະນະທັມ ເຊື້ອຊາດ ພາສາ ສາສນາ ແລະຄວາມເຊື່ອດັ່ງໃນປັດຈຸບັນຢ່າງເຫັນໄດ້ຈຳແຈ້ງ ແຕ່ຫຼັກຖານທີ່ພົບ ເຮົາເຫັນຮູບຄຸດ ແລະນາກມີສ່ວນກ່ຽວຂອງກັນຂ້ອງກັນ ແລະສຳພັນກັນຢ່າງໃກ້ຊິດທາງຄວາມເຊື່ອ ແລະອາຣະຍະທັມໃນອະດີດ.
ັ- ປະເທດລາວ-ຫວຽດນາມ ໄດ້ພັດທະນາມາພ້ອມໆກັນ ເປັນຊົນຊາດທີ່ເກົ່າແກ່ເໝືອນກັນ ເຖິງວ່າເປັນປະເທດທີ່ມີຊາຍແດນຕິດຕໍ່ກັນກ​ຕາມ ປະເທດລາວ ແລະຫວຽດນາມ ມີພາສາ, ສາສນາ, ຄວາມເຊື່ອ, ປະເພນີ ແລະການປະຕິບັດຕົນກ່ຽວກັບຊີວິດຕ່າງໆຫຼາຍຢ່າງທີ່ມີຄວາມແຕກຕ່າງກັນ.

- ກ່ຽວກັບຄຸດ ແລະນາກນີ້ ໄດ້ປາກົດຕົວໃນບັນດາດິນແດນອາຊີຕາເວັນອອກສ່ຽງໃຕ້ເກືອບທຸກປະເທດ, ໂດຍສະເພາະແລ້ວທີ່ເຮົາພົບທົ່ວໄປມັກຈະເຫັນປາກົດ ໃນເທວະສະຖານອັນ ເກົ່າແກ່ຂອງຊຸມຊົນພື້ນເມືອງບູຮານໃນດິນແດນອາຊີຕາເວັນອອກສ່ຽງໃຕ້ ຫຼືສຸວັນນະພູມ ແຕ່ເປັນສີລປະແຕກຕ່າງຈາກປັດຈຸບັນ ນັກບູຮານຄະດີ ຈຶ່ງຮຽກນາກ ແລະຄຸດເຫຼົ່ານີ້ວ່າ "ສີລປະຂອມ", ຈາກ ແລະຄຸດສີລປະຂອມ ທີ່ເຮັດດ້ວຍຫີນມັກຈະມີຮູບຮ່າງໜ້າຕາ ແຕກຕ່າງໄປຈາກນາກ ແລະຄຸດໃນສີລປະລາວໃນລ່ອງແມ່ນຳ້ຂອງທົ່ວໄປເປັນຢ່າງຍຶ່ງ ຈຶ່ງເຮັດໃຫ້ມີ ການແຍກກັນອອກເປັນນາກແຕ່ລະສາຂາ ໂດຍສາມາດແຍກຄວາມເຊື່ອສັດທາໃນສາສນາ ແລະວັດທະນະທັມ ສາມາດແຍກຍຸກຂອງສີລປະ ແລະສາມາດຄົ້ນພົບເຖິງຊົນຊາດທີ່ເປັນເຈົ້າ ຂອງໄດ້.
- ເມື່ອຕົ້ນປີ ໒໐໐໘ ໄດ້ໄປທ່ຽວຫວຽດນາມພາກກາງ ເມືອງດານັງ ໄດ້ເຫັນຮູບຄຸດ ແລະນາກທີ່ສະຫຼັກດ້ວຍຫີນງົດງາມ ເຊິ່ງເຫັນເປັນຮູບທີ່ຄຸດກຳລັງຈັບນາກກິນເປັນອາຫານ, ກໍຖ່າຍມາໄວ້ ຕອນນັ້ນຄິດວ່າ "ໂອ ນາກກັບຄຸດນີ້ ມີຄວາມເປັນສັດຕູກັນມາຕັ້ງແຕ່ເຫິງແລ້ວເດນໍ ? ເນື່ອງຈາກມີການບັນທຶກໄວ້ວ່າ ນາກແລະຄຸດນັ້ນ ເປັນຮູບໂຄຣົບຂອງຊົນຊາດ ຈາມໃນອານຈັກ ຈາມປາ.


- ເມື່ອວັນທີ ໑໖ ທັນວາ ໒໐໐໘ ນີ້ໄດ້ພົບຮູບຄຸດແລະນາກ (ເບິ່ງຮູບ) ທີ່ພົບໄດ້ໃນບ້ານໜອງເຮືອທອງ ອັນເປັນເມືອງບູຮານ ໃນເຂດລ່ອງນຳ້ເຊບັ້ງໄຟ(ຕາມຂ່າວທີ່ທ່ານຮູ້ແລ້ວ) ເປັນຮູບຄຸດທີ່ເຮັດດ້ວຍຄຳ ເຊິງຄຸດນັ້ນໄດ້ອູ້ມນາກສອງຕົວປິ່ນໜ້າອອກ ທຳທ່າບໍ່ແມ່ນວ່າຊິແຫ້ນຊຶກິນເໝືອນກັບ ຄຸດແລະນາກເມືອງດານັງ.
- ແຕ່ຢ່າງໃດກໍຕາມ ຕາມປະຫວັດລະຫວ່າງນາກກັບຄຸດນັ້ນ ພັດເປັນສັດຕູກັນມາຕັ້ງແຕ່ເຫິງແລ້ວ ເຊິ່ງເປັນທັດສະນະຂອງສານສາພຣາມ ແລະຮີນດູ, ສະນັ້ນຮູບຄຸດ ແລະນາກຄຳ ທີ່ພົບໃນບ້ານໜອງເຮືອທອງນັ້ນ ເຖິງວ່າເບິ່ງລັກສະນະແລ້ວ ຄ້າຍກັບວ່າບໍ່ເປັນສັດຕູກັນ ແຕ່ປະຫວັດຂອງນາກ ແລະຄຸດໃນຄະຕິຂອງສາສນາແຖນນັ້ນ ແມ່ນວ່າບໍ່ເຄີຍມີຍຸດໃດ ທີ່ສັດທັງສອງຈະເປັນສັດຕູກັນໄດ້ ດ້ວຍເຫດນີ້ ຄຸດຄຳ ທີ່ບ້ານໜອງເຮືອທອງ(ລາວ) ຈຶ່ງເປັນຮູບຄຸດທິກຳລັງຈັບນາກມາເປັນອາຫານ.
- ເມື່ອເຮົາພາບທັງສອງນີ້ ຢູ່ໃນຕ່າງທີ່ທາງດ້ານສາສນາ ພາສາ ແລະວັດທະນະທຳ ຕະຫຼອດເຊືອຊາດຕ່າງກັນໃດປັດຈຸບັນນີ(ລາວ-ຫວຽດນາມ) ແຕ່ໃນເມື່ອເມື່ອກ່ອນ ເຮົາສາມາດ ມອງໄດ້ວ່າ ຄົນໃນພູມີພານີ້ ຍ່ອມມີຄວາມເຊື່ອເລື່ອງລັດທິ ແລະສາສນາດຽວກັນ ຄືສາສນາພຣາມ ແລະຮີນດູ ເຊິ່ງທາງນັກປະຫວັດສາດ ແລະບູຮານ ຄະດີໄດ້ໃຫ້ທັດສະນະວ່າ "ເປັນດິນແດນຂອງອານາຈັກຈາມປາ ເຈນລະບົກ ແລະເຈນລະນຳ້" ອັນເປັນອານາຈັກເກົ່າແກ່ໃນສຸວັນນະພູມ, ເຊິ່ງຢູ່ໃນຍຸກຂອງານາຈັກສີໂຄຕະປູຣະຮຸ່ງ ເຮືອງ.
- ດ້ວຍເຫດນັ້ນ ເມືອງເກົ່າ ທີ່ຢູ່ບໍຣິເວນບ້ານໜອງທອງ ນີ້ມັນເປັນໄປໄດ້ວ່າ "ເຄີຍເປັນເມືອງທີ່ມີອຳນາດເກົ່າແກ່ ອາດເປັນເມືອງແຫ່ງສູນອຳນາດຂອງອານາຈັກສີໂຄຕະຕະບອງ ກໍເປັນໄດ້.
- ຫາກຈະມີການສົງໄສວ່າ ຫາກວ່າເປັນສູນກາງອຳນາດຂອງອານາຈັກສີໂຄດຕະບອງ ເປັນຫຍັງຈຶ່ງບໍ່ປາກົດຫຼັກຖານ ປາສາດຫີນ ອັນເປັນວັດທະນະທັມຂອມ ແລະຈາມ ເຊັ່ນດຽວກັບອານາຈັກ ເຊດຖາປຸຣະ(ຈຳປາສັກ) ແລະດິນແດນຫວຽດນາມ ຫຼືດິນແດນຂະເໝນ ເຊິ່ງເປັນສູນກາງຂອງຂອມ.
- ອັນນີ້ ມັນເປັນສິ່ງທີ່ງ່າຍຕໍ່ການຄົ້ນຄວ້າວ່າ ວັດທນະທຳປາສາດຫິນນັ້ນ ເປັນວັດທະນະທັມແຈນລະ ແລະວັດທະນະທັມອັງກໍ(ພະນະຄອນ) ເຊິ່ງເກີດຂຶ້ນໃນລະຫວ່າງ ພຸດທະສະວັດ ໑໑-໑໘ ເທົ່ານັ້ນ ແຕ່ວັດທະທັມຂອມສາສນາພຣາມໃນຈາມປາ ແລເຈນລະຍຸກກ່ອນນັ້ນ ຖືລັດທິພາມ ກໍຄືຖືພຣະພຣົມເປັນເທບພະເຈົ້າ ເທວະສະຖານມັກຈະເປັນ ເຈດີ ຫຼືຶອຸບມຸງ ກໍ່ດ້ວຍດີນຈີ່ ເຊັ່ນດັ່ງເຮົາຈະເຫັນວັດທະນະທັມພຣະທາດພຣະນະ ວັດທະນະທັມພຣະທາດອິງຮັງ ວັດທະນະທັມພະທາດເຊິງຊຸມໃນຍຸກກ່ອນລ້ານຊ້າງ ຈະເຫັນໂຄງ ສ້າງຂອງເທວະສະຖານຂອງເຊິ່ງເຮັດດ້ວຍຫິນອຸມຸງ ແລະຈະກໍ່ໂອບດ້ວຍດິນຈີ ພຣະທາດອີງຮັງ ແລະພຣະທາດເຊີງຊຸມສອງແຫ່ງນີ້ ມີລັກສະນະຄ້າຍກັບ ອຸມຸງປາສາດລອຍ ທີ່ເມືອງຊັນໂກ ກຳປົງຖົມ (ຂະເໝນຮຽກ ປາສາດພຣາມກ່ອນອັງກໍ) ເປັນເທວະສະຖາອນຂອງພຣາມ.
- ເມື່ອງເອົາພຣະທາດ ອີງຮັງ ພຣະທາດເຊິງຊຸມ ໄປສົມທຽບກັບພຣະທາດລອຍ ໃນຂະເໝນ ອັນເປັນຍຸກຂອງພຣາມ(ກ່ອນຮີນດູ) ເຊິ່ງຈະເຣີນຮູ່ງເຮືອງໃນກ່ອນພຸດທະການ ຫາກຕົ້ນຕົ້ນພຸດທະສະຕະວັດທີ ໕ ແລ້ວ, ເຮົາຈະເຫັນວ່າ ພູມີພາກນີິ້້ເຄີຍເປັນເມືອງບູຮານກ່ອນອັງກໍ(ຂອມ) ເພາະນອກຈາກພຣະທາດອິງຮັງ ແລະພຣະທາດເຊິ່ງຊຸມເກົ່າກ່ອນ ທີ່ຈະມາຖືກປະຕິສັງຂອນກວາມພຣະທາດອົງເດີມ ໃນຍຸກຂອງພຣະເຈົ້າໄຊຍະເຊດຖານີ້ ຍັງມີພຣະທາດເກົ່າ(ອຸມຸງເກົ່າ) ໃນຍຸກດຽວກັນກະຈາຍຢູ່ສອງຝາກຝັ່ງແມ່ນຳ້ຂອງ ເຊັ່ນ ທີ່ຍັງສົມບູນໃນລາວ ກໍຄືພຣະທາດໂພ່ນ, ເມືອງສຸຂຸມາ ກໍແມ່ນຜາສາດສາມປາ ທີ່ເມືອງມຸນ ກໍມີທາດນາງອີງ ແລະອື່ນໆ ອັນນັ້ນກໍສັນນິຖານວ່າເປັນສິລະໃນຍຸກດຽວກັນ ກັບພະທາດອິງຮັງ ແລະທາດເຊີງຊຸມ.
- ນອກຈາກນັ້ນ ກໍໄດ້ພົບສີມາຫິນໃນຍຸກສີໂຄຕະປຸຣະ(ໄທຍວ່າ ຍຸກທວາຣະວະດີ) ຫຼວງຫຼາຍຕາມວັດ ແລະປ່າເຂົາລຳເນົາໄພທີ່ນັ້ນ ເຊິ່ງພົບແລະຂຶ້ນທະບຽນແລ້ວ ແລະຍັງບໍ່ຂຶ້ນ ທະບຽນແລ້ວ.

ພາບຈຳຫຼັກແຜ່ນເງິນທີ່ໜອງເຮືອທອງບໍ່ອາດຊິກ່ຽວພັນກັບພຸດທະປະວັດ

ສາຍເຊລຳເພົາ ນຳມາຈາກບົດຄວາມເຫັນຂອງ ພຣະຄຣູເນືອງພິລັກ ໂຊຕິທອນ

- ພາບສອງພາບນີ້ ໄດ້ມີການຕົກລົງເປັນເອກະສັນຈາກຄະນະຮັບຜິດຊອບ ການສຶກສາຄົ້ນຄວ້າ ແລະຂຶ້ນທະບຽນວັດຖຸບູຮານທີ່ພົບທີ່ບ້ານໜອງເຮືອທອງ ແຂວງສະຫວັນນະເຂດ ເຊິ່ງພົບເມື່ອວັນທີ ໒໔ ເມສາ ປີ ໒໐໐໘ ຜ່ານມານັ້ນ ແລະກຳລັງຂຽນຢູ່ນີ້ພະແນກຖະແຫຼງຂ່າວ ແລະວັດທະນະທຳແຂວງວັດທະນະທັມ ແຂວງສະຫວັນນະເຂດໄດ້ຈັດສະແດງໃຫ້ມວນ ຊົນທີ່ຕະຫຼາດເຊໂນ, ຜູ້ຂຽນໄດ້ພາບ ທີ່ທາງພະແນກຖະແຫຼງຂ່າວ ແລະວັດທະນະທັມ ແຂວງສະຫວັນນະເຂດ ພິມຈຳໜ່າຍໃຫ້ຜູ້ໄປຊົມໄດ້ຊື້ໄວ້ເປັນທີ່ລະນຶກ ເຊິ່ງພາບທັງສອງນີ້ ທາງຝ່າຍຮັບຜິດຊອບ ໄດ້ສັນນິຖານແລ້ວ ແລະຢັ້ງຢືນວ່າເປັນແຜ່ນເງິນສະຫຼັກພາບກ່ຽວຂ້ອງກັບພຸດທະປະຫວັດ ຄື:


(ພາບທີ ໑ ທີ່ນັກຄົ້ນຄວ້າ ເຂົ້າໃຈວ່າເປັນພາບ ທີ່ກ່ຽວກັບພຣະພຸດທະເຈົ້າ ປາງປະຖົມມະເທດສະໜາ)

(ພາບທີ ໒ ທີ່ນັກຄົ້ນຄວ້າ ເຂົ້າໃຈວ່າເປັນພາບ ທີ່ກ່ຽວກັບພຣະພຸດທະເຈົ້າ ປາງປະສູດ)

໑. ພາບໝາຍເລກ NHT-6-NHT-9 (ວ່າເປັນຮູບຂອງພຣະພຸດທະເຈົ້່າ ປາງປະຖົມມະເທດສະໜາ)
໒. ພາບໝາຍເລກ NHT-7 (ວ່າເປັນນາງສີຣິມະຫາມາຍາ-ປາງປະສູດ). ທັງສອງພາບນີ້ ລ້ວນແຕ່ເປັນໂລຫະເງິນຂະໝາດໃຫຍ່ສົມຄວນ.

- ພາບທັງສອງນີ້ ໄດ້ສອດຄ່ອງກັບການຖະແຫຼງການຂອງກົມພິພະດທະພັນ ແລະວັດຖຸບູຮານ ກະຊວງຖະແຫຼງຂ່າວ ແລະວັດທະນະທັມ ທີ່ໄດ້ປະກາດຂ່າວໄປແລ້ວ, ເມື່ອຜູ້ຂຽນ ເຫັນແຈ້ງການນັ້ນທາງ ນສພ ແລ້ວ, ກໍເກີດຄວາມສົງໄສໃນພາບສອງແຜ່ນນັ້ນແລ້ວ ກໍໄດ້ໃຫ້ຄວາມສົນໃຈໃນພາບສອງແຜ່ນນັ້ນເປັນພິເສດ ຈຶ່ງໄດ້ຄົ້ນຄວ້າສຶກສາສະເພາະທາງ ເຫິງສົມຄວນ ທັງຍັງໄດ້ພາບທີ່ຈະແຈ້ງຊັດແລ້ວ ຈຶ່ງໄດ້ເຫັນວ່າ ພາບທັງສອງນີ້ ຄົງຈະບ່ໍແມ່ນພາບທີ່ກ່ຽວກັບພຸດທະປະຫວັດເລີຍ, ພາບທັງສອງນີ້ຄົງຈະເປັນພາບທີ່່ກ່ຽວພັນກັບ ຣາຊະສຳນັກຂອງເມືອງບູຮານໃນບ້ານໜອງເຮືອທອງເມື່ອ ໑໐໐໐-໒໕໔໓ ປີຜ່ານມາ ຫຼືວ່າພາບສະຫຼັກແຜ່ນເງິນນີ້ ຕ້ອງແມ່ນພາບຂອງເຈົ້າຂອງຊັບສົມບັດນັ້ນເອງ.

- ສິິ່ງທີ່ໃຫ້ຜູ້ຂຽນ ເຂົ້າໃຈວ່າໃນພາບນັ້ນ ບໍ່ໄດ້ສະແດງອັນໃດເລີຍ ທີ່ບົງບອກວ່າມີສ່ວນພົວພັນກັບພຣະພຸດທະເຈົ້າ ຄື ພາບທິ ໑ ນັ້ນ ມີສິ່ງໜຶ່ງທີ່ ຄືຮູບທາງການັ້ນເປັນຮູບຜູ້ຊາຍ ອາດເປັນກະສັດຄອງເມືອງໃດເມືອງໜຶ່ງໃນບໍລິເວນນັ້ນ ເມື່ອ ໒ ພັນກວ່າປີແລ້ວ, ສ່ວນຮູບສອງຂ້າງຖືດອກບົວນັ້ນ ອາດແມ່ນຮູບພຣະຊາຍາ ແລະພຣະສະໜົມເອກຂອງກະສັດ ຫຼືເຈົ້າຂອງຮູບທັງກາງນັ້ນ ເຊິ່ງກຳລັງຖືດອກບົວອັນມີຄວາມໝາຍເຖິງການປະຕິບັດຕໍ່ສາມີ ດ້ວຍຄວາມເຄົາຣົບ.

ໃນຮູບທັງສອງນັ້ນບາງທ່ານອາດຊິມີຄວາມເຫັນວ່າເປັນຮູບຜູ້ຊາຍ ເພາະບໍເຫັນການຈຳຫຼັກຫົວນົມ ເໝືອນກັບຮູບທີ ໒ ເຊິ່ງປະທັບຢືນບົນແຖ່ນຈະແຈ້ງ, ອັນນີ້ຜູ້ຂຽນກໍສາມາດໂອນ ອຽງແລະຍອມຮັບໄດ້ເໝືອນກັນວ່າ ເປັນຮູບຜູ້ຊາຍ ຖ້າຫາກຮູບນີ້ເປັນຮູບຜູ້ຊາຍ ກໍອາດໝາຍເຖິງຂ້າຣາຊະການຊັ້ນສູງຂອງເມືອງນັ້ນກຳລັງເຂົ້າຄາຣະວະກະສັດ ແຕ່ຢ່າງໃດກໍຕາມ ຮູບນີ້ ບໍ່ແມ່ນຮູບປະຖົມມະເທດສະໜາແນ່ນອນ ເພາະວ່າ ຖ້າເປັນຮູບປະຖົມມະເທດສະນາແທ້ ຈັກຕ້ອງມີປັນຈະວັກຄີ ໕ ອົງນັ່ງສະດັບພຣະທັມຢູ່ດ້ວຍການປະນົມມື ຄົງຈະບໍ່ແມ່ນການນັ່ງພຽງ ໒ ອົງ ແລະມືຖືກດອດບົວ (ສັງເກດຮູບແຈ້ງໃນຮູບຕໍ່ໄປນີ້).

(ເບິ່ງພາບແຈ້ງ)

- ສ່ວນພາບທີ່ກ່ຽວກັນ ທີ່ເຮັດຄະນະຮັບຜິດຊອບເຂົ້າໃຈວ່າພາບສອງພາບນີ້ ມີສ່ວນພົວພັນກັບປະຫວັດພຣະພຸດທະເຈົ້ານັ້ນ ຄືພາບທີ ໒ ເຊິ່ງເປັນພາບຍິງເຊິ່ງເຫັນໄດ້ຈະແຈ້ງວ່າ ເປັນພຣະນາງສີຣິມະຫາມາຍາກຳລັງປະກັບຢືນປະສູດ, ເມື່ອມາພິຈາຣະນາເບິ່ງແລ້ວ ພາບນີ້ແມ່ນບໍ່ມີຄວາມກ່ຽວພັນກັບການປະສູດເລີຍ ເຖິງທາງຄະນະຮັບຜິດຊອບ ຈະບອກວ່າ ສິລະປະແຕ່ລະຍຸກຍ່ອມມີການປ່ຽນແປງກໍຕາມ, ການທີ່ທາງຄະນະຮັບຜິດຊອບໃຫ້ຄວາມສຳຄັນວ່າພາບນີ້ແມ່ນພຣະນາງສີຣິມະຫາມາຍາກພລັງປະສູດພຣະໂອຣົດນັ້ນ ເພາະວ່າທີ່ພາບ ຊ້າຍມືພວກເພີ່ນເຫັນວ່າ ເປັນຍິງກຳລັງນອຸ້ມພຣະກຸມມານຢູ່.(ເບິ່ງໃນພາບລຸ່ມນີ້).



ພາບນີ້ ທາງຄະນະຮັບຜິດຊອບເຂົ້າໃຈວ່າເປັນຮູບຄົນອຸ້ມພຣະກຸມມາ ເຊິ່ງຜູ້ຂຽນເຫັນນັ້ນແມ່ນຄົນສາມັນກຳລັງອຸ້ມໝໍ້ ຫຼືພາຊະນະຢູ່ ທີ່ເຫັນເປັນຂາສອງຂາ ນັ້ນ ແມ່ຂາຂອງຄົນອຸ້ມພາຊະນະທີ່ນັ່ັງຊັນຫົວເຂົາເຊິ່ງມີມີຊ້ວນກົ້ນໃຫໄວ້

- ເພື່ອຢາກໃຫ້ເຫັນຈະແຈ້ງຜູ້ຂຽນ ຈຶ່ງໄດ້ຂະຫຍາຍຮູບສະເພາະທີ່ເປັນຈຸດສົງໄສມາແຕ້ມຮູບເສັ້ນ ໂດຍແລ່ນເສັ້ນຕາມຮອຍຂອງຮູບ ແລ້ວມາຂະຫຍາຍໄວ້ຕ່າງຫາກຈະເຫັນຮູບນັ້ນ ຈະແຈ້ງວ່າ ບໍ່ແມ່ນຄົນ ຫາກແມ່ນພາຊະນະຢ່າງຊັດເຈນ. (ເບິ່ງຮູບລຸ່ມນີ້)

(ໃນຮູບທີ່ກໍໃຫ້ເກີດຄວາມສົງໄສວ່າເປັນຮູບຂອງພຣະກຸມມານ ຜູ້ຂຽນແຍກອອກໃຫ້ເຫັນຈຸດສັງເກດ ຄື ໑. ສີເຫຼືອງ ອາດເປັນໝໍ້, ໒. ສີຕັບໝູອາດເປັນຂາຊ້າຍຂອງຄົນຜູ້ຖືໄຫນັ້ນ ໓. ສິແດງ ອາດເປັນມີເຊິ່ງຊ້ວນໂຈມໄຫໄວ້

- ນອກຈາກເຫັນວ່າ ຜູ້ຍິງທີ່ຢືນຢູ່ຖານດອກບົວນັ້ນ ເປັນຜູ້ຍິງສູງສັກທີ່ມີບັນດາສັກສູງກວ່າ ຄົນສອງຄົນທີ່ນັ່ງຖືໄຫສອງໄຫ ເຊິ່ງມີບັນດາສັກຕ່ຳກວ່າ ອາດເປັນຄົນໃຊ້ ການແຍກ ຄົນທັງສາມອອກຈາກກັນໂດຍສິ້ນເຊິງນັ້ນ ແມ່ນເບິ່ງຈາກການແຕ່ງກາຍ ບໍ່ວ່າຈະທີ່ຍິ່ງຍືນມີສະດາປະດັບສຽນ ສ່ວນຄົນທີ່ນ່ັງທັງສອງພຽງເກົ້າຜົມທຳມະດາ ແລະບໍ່ມີເຄື່ອງປະກັບກາຍ ຫຍັງເລີຍ ເຊິ່ງກໍຕາມຈາກຢຍິງທີ່ຢືນຢູ່ ມີເຄື່ອງປະດັບເຕັມຕົວ (ເບິ່ງຮູບລຸ່ມນີ້ ທີ່ແຍກຈຸດໄວ້ໃຫ້ສັງເກດດັ່ງນີ້)

ພາບນີ້ໄດ້ໝາຍຈຸດໃຫ້ສັງເກດລະຫວ່າງຄົນທັງ ໓ ວ່າມິອາດຍາສິດແຕກຕ່າງກັນຢ່າງໃດ ?

- ເມື່ອສະຫຼຸບແລ້ວ ພາບນີ້ບໍ່ແມ່ນພາບທີ່ກ່ຽວພັນກັບພຸດທະປະຫວັດແນ່ນອນ ເຖິງຄະນະຮັບຜິດຊອບຈະອ້າງວ່າ ເພາະໃນຮູບນັ້ນມີການຢືນເທິງດອກບົວ ຈຶ່ງເຂົ້າໃຈວ່າ ເປັນຮູບກ່ຽວ ພັນກັບສາດສະໜາ, ກ່ຽວກັບດອກບົວນັ້ນ ບໍ່ສະເພາະກ່ຽວກັບສາສນາເທົ່ານັ້ນ ເນື່ອງຈາກວັດທະນະທັມສຸວັນນະພູມນັ້ນມັກຈະກ່ຽວພັນກັບດອກບົວມາກ່ອນ ແລ້ວ.

- ຜູ້ຂຽນສະຫຼຸບວ່າ ພາບນີ້້ເປັນພາບທີ່ກ່ຽວກັບຄົນໃນຣາຊະສຳນັກ ຂອງອານາຈັກສີໂຄຕະປຸຣະ ຫຼືສີໂຄຕະບູນ ອັນເປັນເຈົ້າຂອງເມືອງເກົ່າແຫ່ງນີ້, ອາດມີສ່ວນກ່ຽວພັນກັບຊົນ ນາຄາອັນເປັນເຈົ້າຂອງດິນເດີມແຫ່ງ ສີໂຄຕະບອງນີ້.

ຮູບແຜ່ນນີ້ເປັນຮູບແຜ່ນທີ ໓ ໃນຈຳນວນພາບທັງໝົດທີ່ຂຸດພົບ ເຂົ້າໃຈວ່າເປັນພາບຂອງພຣະມະເຫສີຂອງກະສັດເມືອງບູຮານນັ້ນ

- ເມື່ອຜູ້ຂຽນໄດ້ເຫັນພາບທີແມ່ນ ທີ ໓ ນີ້ແລ້ວ ຈຶ່ງສະຫຼຸບໄດ້ວ່າໃນຈຳນວນ ໓ ພາບນັ້ນ ມີພາບຍິງສູງສັກ ໒ ພາບ ເຊິ່ງເບິ່ງໃບໜ້າຂອງຮູບ ແລະລັກສະນະທ່າທາງແລ້ວ ພາບທີຍິງຢຶນເທິງແທ່ນຖືດອກບົວ ແລະມີບໍຣິວານສອງຄົນຖືໄຫນັ້ນ ເປັນຮູບຍິງໜຸ່ມ ຮູບຮ່າງພຽວງາມດີ ຄົງຈະມີອາຍຸບໍ່ສູງເກີນ ໒໕ ປີ, ສ່ວນຮູບຜູ້ຍິງແຜ່ນທີສອງນີ້ ໜ້າແກ່ ເຖິງແອວຈະພຽວ ແຕ່ກໍບົ່ງບອກວ່າ ເປັນຜຸູ້ມີອາຍຸສູງແລ້ວ ອັນນີ້ເຮັດໃຫ້ວິເຄາະໄປວ່າ ຫາກຮູບຍິງທັງສອງມີມີສ່ວນກ່ຽວພັນກັບກະສັດ ຮູບທິ ໑ ອາດເປັນຮູບຂອງສະໜົມເອກ ສ່ວນຮູບທີ ໒ ອາດແມ່ນພຣະຊາຍາຂອງກະສັດນັ້ນເອງ.

- ອີກຢ່າງໜຶ່ງສິ່ງທີ່ໃຫ້ເຂົ້າໃຈວ່າ ບໍ່ແມ່ນຮູບກ່ຽວກັບພຣະພຸດທະເຈົ້າ ເນື່ອງຈາກພຣະພຸດທະອົງກໍດີ ພຣະສາວົກຂອງພຣະອົງ ມີໜ້ອຍທີ່ສຸດຈະນ່ັງຢ່ອນພຣະບາດ ໂດຍສະເພາະແມ່ນພຣະສາວົກຈະບໍ່ຄ່ອຍນັ່ງຊັນເຂົ່າ ແລະຢ່ອນພຣະບາດ, ເວົ້າດັ່ງນີ້ ບໍ່ແມ່ນໝາຍວ່າ ເມືອງສີໂຄຕະປຸຣະເມື່ອ ໑ ຫາ ໒ ພັນນັ້ນ ຈະບໍ່ມີອິດທິພົນແຫ່ງພຸດທະສາສນາເລິຍ ທີ່ຈິງຕາມຫຼັກຖານຕ່າງໆໃນບໍຣິເວນແຫ່ງນັ້ນມີສີສາຍຸກສີໂຄຕບອງ ທີ່ສະທ້ອນໃຫ້ເຫນອິດທິພົນພຣະພຸດທະສາສນາມາຮ່ວມ ໒໐໐ ປິແລ້ວ, ຢ່າງໃດກໍຕາມ ການສຶກສາເຣື່ອງນີ້ນີ້ແມ່ນໄດ້ສຶກສາຕາມພາບທີ່ປາກົດ ແລະອິງຕາມນິທານ ທີ່ເລົ່າສືບມາວ່າ ມີເມືອງເວິນຊາ ແລະເມືອງຄຸມພະວັງ ສອງເມືອງນີ້ໄກ້ຊິດກັນ ແລະທຳສົງຄາມກັນ ເມື່ອເຈົ້າເມືອງຕຸມພະວັງໄດ້ຍົກທັບໄປຕິເອົາເມືອງເວິນຊາໄດ້ແລ້ວ ກໍເອົາລູກສາວຂອງເຈົ້າເມືອງເວິນຊາມາເປັນສະໜົມເອກ(ພຣະຊາຍາອົງທີ ໒)ດ້ວຍເຫດນັ້ນ ຈຶ່ງເປັນເຫດຜູ້ຂຽນມີຄວາມຄິດເຫັນເຊັ່ນນັ້ນ ແລະມັນກໍຄວນຈະເປັນເຊັ່ນນັ້ນແທ້.


ພາບອ້າງອິງກ່ຽວກັບພຸດທະປະຫວັດທີ່ກ່ຽວຂ້ອງກັນກັບເຣື່ອງ

ພາບປາງປະສູດ

ພາບປາງປະຖົມມະເທດສະໜາ

ພາບປາງປ່າເລໄລຍ໌ ທີ່ເປັນພາບປາງດຽວທີ່ປາກົດເຫັນພຣະພຸດທະອົງນັ່ງຢ່ອນພຣະບາດ


ບົດຄວາມ ແລະຂ່າວທີ່ກ່ຽວຂ້ອງ
ສົມບັດອັນລຳ້ຄ່າ
http://laohunman.blogspot.com/2008/06/blog-post_08.html
ອານາຈັກສີໂຄດຕະບອງເກົ່າແກ່ທີ່ສຸດໃນສຸວັນນະພູມ
http://laohunman.blogspot.com/2008/07/blog-post_20.html
http://saixelamphao.livejournal.com/641.html
ການຄົ້ນພົບວັດຖຸບູຮານທີ່ເມືອງເກົ່າສີໂຄດຕະບອງ ໄດ້ຢັ້ງຢືນເຖິງຄວາມເກົ່າແກ່ຂອງຊາດລາວ
http://my.opera.com/neuang/blog/show.dml/2511571
ບູຮານວັດຖຸພົບທີ່ໜອງເຮືອທອງ
http://my.opera.com/neuang/albums/show.dml?id=577940
ບ້ານໜອງເຮືອທອງ (ເມືອງບູຮານໃນສະໄໝສີໂຄດຕະປຸຣະ)
http://my.opera.com/neuang/albums/show.dml?id=577696
ຮ່ອງຮອຍການຕັ້ງຖິ່ນຖານຂອງຊົນຊາດລາວບູຮານ
http://my.opera.com/neuang/blog/show.dml/2825982
ຂ່າວທາງໂທຣະທັດ ກ່ຽວກັບການພົບສົມບັດທີ່ໜອງເຮືອທອງ
http://www.youtube.com/watch?v=aO3NPmsYkEw
ເບິ່ງຮູບປາງປະສູດສິນລະປະເກົ່າທີ່ອິນເດັຍ
http://watvichitdhammaram.blogspot.com/2008/06/lumbini-or-rummindeinepal.html

ຄວາມໝາຍຄວາມເປັນມາຂອງບຸນມະຫາຊາດໃນລາວ

ຄວາມໝາຍຄວາມເປັນມາຂອງບຸນມະຫາຊາດໃນລາວ
ພຣະຄຣູເນືອງພິລັກ ໂຊຕິທອນ

໑. ຊາດົກໝາຍເຖິງຫຍັງ ?
ຄຳວ່າ “ຊາດົກ”(ຊາຕະກະ) ແປວ່າ ຜູ້ເກີດ ຄື ເຫຼົ່າເຖິງການທີ່ພຣະພຸດທະເຈົ້າ ຊົງວຽນວາຍຕາຍເກີດ ຄືເອົາກຳເນີດໃນຊາດຕ່າງໆ ໄປຈວບປະຈົບພົບພໍ້ກັບເຫດການຕ່າງໆ ທັງດີແນ່ ບໍ່ດີແນ່, ແຕ່ກໍໄດ້ສ້າງຄຸນງາມຄວາມດີຕິດຕໍ່ກັນມາທັງຫຼາຍ ແລະນ້ອຍ ຕລອດມາ ຈົນເຖິງໄດ້ເກີດເປັນພຣະພຸດທະເຈົ້າໃນຊາດສຸດທ້າຍ.
ກ່າວອີກຢ່າງໜຶ່ງ ຖືວ່າ ເລື່ອງຊາດົກເປັນວິວັດທະນາການ ແຫ່ງການບຳເພັງຄຸນງາມຄວາມດີ ຂອງພຣະພຸດທະເຈົ້າ ຕັ້ງແຕ່ຍັງເປັນພຣະໂພທິສັດພຸ້ນເປັນຕົ້ນມາ.
ໃນອັດຖະກະຖາ ໄດ້ສະແດງວ່າ ຜູ້ນັ້ນຜູ້ນີ້ກັບຊາດມາເກີດເປັນໃຜ ໃນສະໄໝພຣະພຸດທະເຈົ້າ ແຕ່ໃນປາລີພຣະໄຕປີດົກກ່າວເຖິງພຽງບາງເຣື່ອງ ສະເພາະສະນັ້ນສະ ຣະສຳຄັນຈຶ່ງຢູ່ທີ່ຄຸນງາມຄວາມດີ ແລະຢູ່ທີ່ຄະຕິທັມໃນນິທານນັ້ນໆ.
ເປັນທີ່ຮູ້ຈັກກັນຢູ່ແລ້ວວ່າ ຊາດົດທັງໝົດເທົ່າທີ່ໄດ້ຈັດລຽງ ແລະຈັດພິມແລ້ວເປັນພາສາລາວໃນອະດີດ ທັງທີ່ເປັນອັກສອນທັມໃນໃບລານແລ້ວນັ້ນ ມີທັງໝົດ ໕໕໐ ເຣື່ອງ, ແຕ່ເທົ່າທີ່ມີຜູ້ຄົ້ນຄວ້າເພີ່ມຕື່ມໃນພຣະໄຕປີດົກ ໄດ້ນັບເບິ່ງເຫັນວ່າ ໃນເຫຼັ້ມທີ ໒໗ ມີ ໒໒໕ ເຣື່ອງ, ໃນເຫຼັ້ມທີ ໒໘ ມີ ໒໒ ເຣື່ອງ ຣວມທັງໝົດ ແລ້ວມີພຽງ ໕໔໗ ເຣື່ອງ, ກໍຂາດຫາຍໄປ ໓ ເຣື່ອງ, ເຖິງປານນັ້ນກໍຕາມ ຜູ້ຄົ້ນຄວ້າບາງທ່ານອະທິບາຍວ່າ ສ່ວນທີ່ຂາດຫາຍໄປນັ້ນບໍ່ແມ່ນອື່ນໄກ ອາດເປັນນິທານຊ້ອນນິທານ ແລະບໍ່ໄດ້ແບ່ງເຣື່ອງຊ້ອນເຣື່ອງນັ້ນອອກຕ່າງຫາກ, ເຖິງຢ່າງໃດກໍຕາມເມື່ອມີການຄົ້ນຄວ້າມາກ່ອນທັງນັກປາດຊາວຕ່າງປະເທດ ແລະຊາວລາວເຮົາເອງຢືນຢັນວ່າ ຊາດົກທັງໝົດມີ ໕໕໐ ເຣື່ອງ, ກໍສະແດງວ່າ ແມ່ນຖືກຕ້ອງຕາມຈິງ ເພາະຈຳນວນທີ່ຜູ້ນັບນຳຫຼັງວ່າ ມີ ໕໔໗ ເຣື່ອງ ກໍນັບວ່າມີຄວາມໃກ້ຄຽງເປັນຢ່າງຍິ່ງ.

໒. ຄວາມເປັນມາເຣື່ອງພຣະເວດສັນດອນຊາດົກ
ພຣະເຫວດສັນຕະຣະຊາດົກນັ້ນ ຕົກຢູ່ໃນທະສະຊາດົກ ຄືພຣະເຈົ້າ ໑໐ ຊາດ, ໄດ້ສະແດງໄວ້ໃນໝວດຂຸທທະກະນິກາຍ ພຣະສູຕຕັນຕະປີດົກ ພຣະໄຕຣປິດົກເຫຼັ້ມທີ ໒໘ ເຫດທີ່ເກີດຂອງຊາດົກເຣື່ອງນີ້ເປັນດັ່ງນີ້:
ສະໄໝໜຶ່ງ ພຣະຜູ້ມີພຣະພາກເຈົ້າ ພ້ອມດ້ວຍພຣະສົງສາວົກຈຳນວນຫຼາຍ ໄດ້ສະເດັດໄປຍັງນະຄອນກະບິລະພັດ(ກະປິລະວັຕຖຸ) ເພື່ອສະແດງທັມໂຜດພຣະຍາ ຕິວົງ, ຂ່າວຊາບເຖິງພຣະເຈົ້າສຸດໂທທະນະພຣະພຸດທະບິດາ ແລະພຣະບາຕິວົງ ຕ່າງກໍມີຄວາມຍິນດີ ພ້ອມກັນໄປຖວາຍການຕ້ອນຮັບ ເມື່ອພຣະຍາຕິວົງໄດ້ເຫັນພຣະພຸດທະ ອົງມີພຣະຮູບອັນງາມ ມີພຣະຊົນມາຍຸຣຸ່ນຣາວຄາວດຽວກັບບຸດທິດາຂອງຕົນກໍບໍ່ຖວາຍຄວາມເຄົາຣົບ ຄົງມີແຕ່ພຣະຣາຊະກຸມານ-ກຸມາຣີໜຸ່ມໆ ທີ່ອາຍຸຕໍ່າກວ່າເທົ່ານັ້ນ ທີ່ຖວາຍການເຄົາຣົບ, ພຣະພຸດທະອົງເຫັນເຊັ່ນນັ້ນ ຈຶ່ງຊົງສະແດງພຣະປາຣະມີ ເຂົ້າສູ່ຊານແລ້ວລອຍຕົວຂຶ້ນອາກາດເໜືອຊຸມນຸມພຣະຍາຕິວົງ ພ້ອມທັງເປັ່ງພຣະສັບພັນນະຣັງສີຮຸ່ງເຮືອງສະຫວ່າງຮອບພຣະອົງ ເປັນທີ່ອັດສະຈັນເປັນອັນຍິ່ງ.
ພຣະເຈົ້າສຸທໂທທະນະພຸດທະບິດາ ທອດພຣະເນຕເຫັນເຊັ່ນນັ້ນ ຈຶ່ງຍົກພຣະຫັດທັງສອງຂຶ້ນ ຖວາຍຄວາມເຄົາຣົບ ແລະຕັດສັນລະເສີນພຣະພຸດທະອົງວ່າ “ໃນຄັ້ງທີ່ພຣະພຸດທະອົງຍັງຊົງພຣະເຍົາວ໌ ໄດ້ເຊີນພຣະພຸດທະອົງເຂົ້າໄປນະມັດສະການຊະ ດິນດາບົດ ຄັ້ງນັ້ນພຣະພຸດທະອົງໄດ້ຊົງສະແດງ ພຣະປາຣະມີລອຍຂຶ້ນເໜືອສຽນເກົ້າຂອງຊະດິນດາບົດ ຄັ້ງນັ້ນພຣະພຸດທະບິດາໄດ້ຖາວຍຄວາມເຄົາຣົບໄປແລ້ວຄັ້ງໜຶ່ງ, ຄັ້ງ ທີສອງ ເມື່ອພຣະເອື້ອຍລ້ຽງໄດ້ເຊີນພຣະພຸດທະອົງ ສະເດັດໄປໃນພິທີວັບປະມຸງຄຸນຈະ ຣົດພຣະນັງຄັນແຣກນາຂວັນ ນະທີ່ທ້ອງສະໜາມຫຼວງ ໂດຍໃຫ້ບັນທົມຢູ່ກ້ອງຕົ້ນໄມ້ ໃນຄັ້ງນັ້ນເຖິງ ແມ່ນວ່າຕາເວັນຄ້ອຍບ່າຍໄປແລ້ວ ແຕ່ເງົາຕົ້ນໄມ້ບໍ່ໄດ້ຄ້ອຍບ່າຍໄປດ້ວຍ ກັບທຳໜ້າທີ່ປະດຸດຈະດັ່ງຄັນຮົ່ມກັ້ງພຣະອົງໄວ້ ບໍ່ໃຫ້ຕ້ອງແສງພຣະອາທິດ ພຣະພຸດທະບິດາໄດ້ຖວາຍຄວາມເຄົາຣົບເປັນຄັ້ງທີສອງ, ແລະຄັ້ງນີ້ເປັນຄັ້ງທີສາມ ທຳໃຫ້ພຣະຍາຕິວົງທຸກໆ ພຣະອົງຖວາຍຄວາມເຄົາຣົບ” ຂະນະນັ້ນກໍບັງເກີດຝົນໂບກຂະຣະພັດ ເຊິ່ງເປັນນຳ້ຝົນສີແດງໃສບໍຣິສຸດຕົກລົງມາ ຫາກພຣະຍາຕິວົງບໍ່ຕ້ອງການໃຫ້ຝົນສີແດງຖືກ ຕ້ອງພຣະກາຍ ກໍຈະເປັນດັ່ງປາຖະໜາ ຄວາມອັດສະຈັນທີ່ເກີດຂຶ້ນໃນຄັງນີ້ ພຣະຍາຕິວົງຕ່າງກໍຕັດວ່າ “ເປັນດ້ວຍອະນຸພາບຂອງພຣະພຸດທະເຈົ້າ” ຈາກນັ້ນຈຶ່ງຂາບທູນລາພຣະພຸດທະເຈົ້າກັບພຣະຣາຊະວັງ.
ຝ່າຍພຣະສົງ ໄດ້ປະຊຸມສົນທະນາກັນເຖິງຄວາມອັດສະຈັນທີ່ເກີດຂຶ້ນ ພຣະພຸດທະອົງຊົງຊາບເຣື່ອງ ຈຶ່ງໄດ້ສະເດັດໄປຍັງທີ່ປະຊຸມແລ້ວຕັດວ່າ “ຝົນໂບກຂະຣະພັດນີ້ ໄດ້ເຄີຍມີມາແລ້ວໃນອະດີດ” ຈາກນັ້ນຈຶ່ງຊົງຕັດຊາດົກເຣື່ອງ ພຣະເວດສັນດອນ ໃຫ້ຄະ ນະສົງຟັງ ເຊິ່ງຖືວ່າເປັນຕົ້ນເຫດໃຫ້ພຣະພຸດທະອົງເທສນາເຣື່ອງ ພຣະເວດສັນດສອນຊາດົກ.

໓. ຄວາມເປັນມາຂອງການເຮັດບຸນມະຫາເຫວດສັນຕະຣະຊາດົກ
​ ​​​ປາກົດໃນໜັງສື ມະໄລໝື່ນ ມະໄລແສນ ເຊິ່ງກ່າວເຖິງດິນແດນລັງກາທະວີບ ມີ ພຣະສົງອົງໜຶ່ງ ນາມວ່າພຣະມະຫາມະໄລ ສຳເລັດອະພິນຍາຍານ ມັກໄປເທດສະໜາ ໂຜດ ສັດນະຣົກປະຈຳ, ວັນໜຶ່ງ ຊາຍຄົນທຸກອາຊີບຫາຟືນຂາຍເພື່ອລ້ຽງຊີບ ໄດ້ເຫັນ ດອກບົວຫຼວງ ກາງໜອງທີ່ສວຍງາມຈຶ່ງເກັບໄດ້ ໘ ດອກແລ້ວ ນຶກວ່າດອກບົວຫຼວງ ເປັນດອກໄມ້ບໍຣິສຸດ ເກີດຢູ່ກາງໜອງຄວນຈະເອົາໄປບູຊາພຣະຣັດຕະນະໄຕຈຶ່ງສົມ ຄວນ ແລະວັນນີ້ກໍເປັນວັນສິນດ້ວຍ ຄິດແລ້ວກໍນຳເອົາດອກບົວນັ້ນໄປຖວາຍແກ່ພຣະ ເຖຣະມາໄລ ແລ້ວຖວາຍເປັນພຸດທະບູຊາ, ທັມມະບູຊາ ແລະສັງຄະບູຊາ ຖວາຍແລ້ວກໍ ປາຖະໜາມັກ-ປາຖະໜາຜົນ ເມື່ອພຣະມາໄລເຖຣະໄດ້ຮັບດອກບົວນັ້ນແລ້ວ ຈຶ່ງນຶກວ່າ “ເຮົາໄປນະຣົກມາໝົດແລ້ວ ບັດນີ້ເຮົາຈະເອົາດອກບົວນີ້ໄປໄຫວ້ພຣະທາດເກດແກ້ວຈຸ ລະມະນີ ຄິດແລ້ວພະມາໄລກໍເຂົ້າຊານແລ້ວກໍເຫາະໄປຕາວະຕິງສາສະຫວັນໂດຍທັນທີ ກໍໄຫວ້ພຣະທາດເກດແກ້ວ ເມື່ອໄຫວ້ພຣະທາດແລ້ວ ກໍໄດ້ພົບພຣະຍາກິນ ກໍຖາມຂ່າວ ຄາວກັນ ວັນນັ້ນເປັນວັນສິນ ພຣະອິນບອກວ່າ ວັນນີ້ຈະມີເທບພະບຸດ ແລະເທພະດາ ຈາກໝື່ນໂລກະທາດມາໄຫວ້ພຣະທາດ ໃນນັ້ນຈະມີເທພະບຸດອະຣິຍະເມດໄຕ ອົງທີ່ຈະ ລົງໄປຕັດເປັນພຣະພຸດທະເຈົ້າໃນຄັ້ງໜ້າຈະມາດ້ວຍ ພຣະມາໄລມີຈຸດປະສົງຢາກພົບ ພຣະສີອະຣິຍະເມດໄຕເທພະບຸດ ກໍຈົ່ງຢູ່ຖ້າ.
ໃນຂະນະລໍຖ້າສີອະຣິຍະເມດໄຕເທພະບຸດຢູ່ນັ້ນ ກໍມີຂະບວນຂອງເທພະດາ ມາກ່ອນຫຼາຍອົງ ພ້ອມດ້ວຍບໍຣິວານຫຼາຍນ້ອຍຕ່າງກັນ ນັບແຕ່ ໑໐໐໐ ຕົນ, ຮອດແສນ ຕົນ ພຣະມາໄລກໍຖາມເຖິງອະນິສົງຂອງການທຳບຸນຂອງເທພະບຸດ ແລະເທພະດາອົງ ຕ່າງໆ ພຣະຍາອິນກໍຕອບພຣະມາໄລເຖຣະ ຕາມບຸບພະກັມຂອງເທພະບຸດເທພະດາ ອົງຕ່າງໆນັ້ນວ່າ “ຄາວເມື່ອເຂົາເປັນມະນຸດໄດ້ເຮັດບຸນທຳທານອັນໃດ ຈຶ່ງໄດ້ອະນິສົງ ພຽງນີ້ ຕາມຖານະຈົນພຣະມາໄລຊາບໂດຍລະອຽດ” ເມື່ອຊິ້ນຂະບວນເທພະບຸດຜູ້ມີ ບໍຣິວານເຖິງໜຶ່ງແສນແລ້ວ ຈຶ່ງເຫັນຂະບວນຂອງອະຣິຍະເມດໄຕເທວະບຸດມາ ພ້ອມ ດ້ວຍບໍຣິວານຂອງຕົນ ອະຣິຍະເມດໄຕເທວະບຸດໄດ້ນຳຂະບວນຮອບພຣະທາດເກດ ແກ້ວແລ້ວ ກໍໄຫວ້ຕາມສົມຄວນ ແລ້ວຈຶ່ງມາໄຫວ້ພຣະຍາອິນ ແລະພຣະມາໄລເຖຣະ ພຣະອິນຖາມຂ່າວຮູ້ວ່າ ພຣະມາໄລເຖຣະມາແຕ່ເມືອງມະນຸດ ຈຶ່ງຖາມສາຣະທຸກສຸກດິບ ແລະຍັງຖາມເຖິງການເຮັດບຸນ ຂອງມະນຸດວ່າ ຍັງປາຖະໜ້າເຫັນໜ້າຂອງເຮົາຢູ່ບໍ ? ພຣະມາໄລຕອບໄປຕາມຄວາມຈິງ ຄື ບາງຜ່ອງເຮັດບຸນ ບາງຜ່ອງບໍ່ເຮັດບຸນ ບາງຜ່ອງ ເປັນຄົນດີທຳບຸນສຸນທານ ແລະບາງຜ່ອງບໍ່ເຮັດ ເປັນຄົນຂີ້ໂຫດສາມານ, ເມື່ອສີຣິຍະ ເມດໄຕ ຍິນດັ່ງນັ້ນແລ້ວ ຈຶ່ງສົງສານມະນຸດ ຈຶ່ງສັ່ງຄວາມມາຫາມະນຸດກັບພຣະມາໄລ ວ່າ “ໃຜຢາກເຫັນໜ້າ ແລະພົບສາສະໜາຂອງພຣະສີອະຣິຍະເມດໄຕໃຫ້ທານ, ຮັກສາ ສິນ ແລະສະມາທິພາວະນາ ຟັງຣົດສາທັມມະເທສະໜາ”.
ພຣະມາໄລເຖຣະ ຈຶ່ງຖາມວ່າ ຫາກມະນຸດປາຖະໜາເຫັນໜ້າພຣະສີອະຣິຍະ ເມດໄຕແລ້ວ ມະນຸດຈະເຮັດຈັ່ງໃດ ? ອະຣິຍະເມດໄຕຈຶ່ງສັ່ງວ່າ “ໃຫ້ມະນຸດຟັງທັມມະ ຫາເວດສັນຕະຣະຊາດົກ ແຕ່ເຄື່ອງບູຊາດ້ວຍຄາຖາພັນ ແລະໃຫ້ຟັງແລ້ວໃນມື້ໜຶ່ງວັນ ດຽວ ແລ້ວປາຖະໜາເຫັນໜ້າພຣະພຸດທະເຈົ້ານາມວ່າອະຣິຍະເມດໄຕ” ດ້ວຍເຫດນີ້ ຊາວພຸດຈຶ່ງນິຍົມເຮັດບຸນພຣະເຫວດແຕ່ນັ້ນມາ, ແຕ່ບັດນີ້ການເຮັດບຸນພຣະເຫວດ ປາ ກົດເຮັດຈົນປະເພນີຂອງຊາດນັ້ນ ແມ່ນຊຸມຊົນເຊື້ອຊາດລາວເທົ່ານັ້ນ.

໔. ຄວາມເປັນມາຂອງການເຮັດບຸນມະຫາເຫວດສັນຕະຣະຊາດົກໃນລາວ.
ພຣະເວດສັນຕະຣະຊາດົກ ບາງຄັ້ງກໍຮຽກວ່າ “ມະຫາເວດສັນຕະຕະຊາດົກ” ເປັນຊາດົກເຣື່ອງໃຫຍ່ ກ່າວເຖິງພຣະໂພທິສັດ ເຊິ່ງສະເຫວີຍພຣະຊາດເປັນພຣະເວດສັນດອນ “ເວສັນຕຣະ” ໄດ້ບຳເພັງພຣະປາຣະມີຢ່າງສູງສຸດ ຍາກເກີນກວ່າຈະມີຜູ້ໃດທຳໄດ້ ຄື ໃຫ້ບຸດແລະພັລຍາແກ່ຜູ້ທີ່ມາຂໍ ນອກຈາກນັ້ນຍັງບຳເພັງພຣະປາຣະມີອັນຍິ່ງໃຫຍ່ອື່ນໆຄົບຖ້ວນ ໑໐ ປະການ, ຈຶ່ງ ຮຽກອີກຢ່າງໜຶ່ງວ່າ “ມະຫາຊາດ-ມະຫາຊາຕະ” ແລະການເທດເຣື່ອງພຣະເຫວດສັນດອນ ກໍຮຽກວ່າເທສນາມະຫາຊາດ.
ມະຫາເວສສັນຕະຣະຊາດົກ ເປັນເຣື່ອງສູງສົ່ງ ສະແດງໃຫ້ເຫັນເຖິງການເສັຍສະຫຼະປະໂຫຍດສຸກສ່ວນຕົວ ຂອງພຣະເວສສັນດອນ ເພື່ອເປັນທາງນຳໄປສູ່ໂພທິຍານ ເມື່ອໄດ້ບັນລຸໂພທິຍານແລ້ວ ກໍບໍ່ໄດ້ຮັບປະໂຫຍດສຸກສະເພາະຕົນ ແຕ່ໄດ້ນຳມາສັ່ງ ສອນເພື່ອປະໂຫຍດສຸກແກ່ຊາວໂລກດ້ວຍ.
ມະຫາເວສສັນຕະຣະຊາດົກ ເປັນເຣື່ອງທີ່ຄົນລາວຮູ້ຈັກກັນມາຕັ້ງແຕ່ ສະໄໝທີ່ ພຣະພຸດທະສາສນາເຂົ້າມາລາວແລ້ວ ຄືນັບແຕ່ສະໄໝອານາຈັກຊຽງທອງ ມີຫຼັກຖານແນ່ນອນໃນສະໄໝລ້ານຊ້າງຊຽງທອງ ແລະມີຫຼັກຖານປາກົດທົ່ວໄປໃນໜັງສືໃບລານ ແລະຮີດ ໑໒ ຄອງ ໑໔ ອັນເປັນກົດມົນທຽນບານຂອງລາວ, ກາຍເປັນຄະຕິຄວາມເຊື່ອຂອງຄົນລາວທືສືບທອດມາເຖິງປັດຈຸບັນນີ້.
ມະຫາເວສສັນຕະຣາຊາດົກນັ້ນ ປາກົດເຫັນທົ່ວໄປໃນຫົວເມືອງລາວ ແລະບັນດາຫົວເມືອງ ທີ່ເຄີຍເປັນສ່ວນໜຶ່ງຂອງປະ ເທດລ້ານຊ້າງໃນອະດີດ ບໍ່ວ່າຫົວເມືອງໃນພາກອິສານຂອງໄທຍ໌, ຫົວເມືອງພາກເໜືອຂອງຂະເໝນ, ຫົວເມືອງພາກໃຕ້ຂອງຈີນ ແລະເມືອງທ່າຂີ້ເຫຼັກຂອງພຣະມ້າ, ໃນອານາຈັກລ້ານນາ, ໃນບັນດາຫົວເມືອງເຫຼົ່ານີ້ ໜັງສືພຣະເວສສັນດອນນັ້ນ ມັກຈະມີລັກສະນະໃຊ້ພາສາລາວ, ໜັງສືພຣະເວສສຳນວນພາ ສາລາວນັ້ນ, ມັກຈະເປັນລັກສະນະຍົກສັບທັງໝົດ, ໜັງສືລຳພຣະເຫວດປະເພດຍົກສັບນີ້ນັ້ນ ມັກຈະນຳມາເທສໃນງາບຸນພຣະເວສປະຈຳປີ ຫຼືບຸນມະຫາຊາດ, ບໍ່ນິຍົມເອົາໜັງສື ພຣະເວສກ້ອມ ຫຼືໜັງສືພຣະເວສປະເພດຄຳກອນມາເທດໃນງາບຸນມະຫາຊາດ.
ໜັງສືພຣະເວດເທົ່າທີ່ປາກົດນັ້ນ ຈະຂຽນເປັນອັກສອນລາວເດີມ (ອັກສອນທັມໃນແບບນິຍົມຂອງຊົນເຜົ່າຕ່າງໆຂອງລາວ) ແລະຂຽນໃສ່ໃບລານມີອາຍຸຫຼາຍຮ້ອຍປີກໍປາກົດຢູ່, ແຕ່ຢ່າງໃດກໍຕາມເທົ່າທີ່ເອົາຕົວຢ່າງຈາກໜັງສືພຣະເຫວດທີ່ມີຄວາມຍາວສຸດນັ້ນ ໃຊ້ເວລາເທດຕໍ່ເນື່ອງກັນຕັ້ງແຕ່ເວລາ ໐໒:໐໐ ໂມງຕອນເດີກ, ໄປສິ້ນສຸດຢູ່ທີ່ເວລາ ໒໐:໐໐ ໂມງ, ໜັງສືຍາວສຸດພົບທີ່ວັດຂະເໜົາໂພນຈຳ ປີ ຄ.ສ ໑໙໗໒, ດຽວນີ້ບໍ່ໃຊ້ແລ້ວຍາວໂພດ, ໜັງສືທີ່ໃຊ້ກັນທົ່ວໄປນີມັກຈະເທດແຕ່ເວລາ ໐໓:໐໐ ໂມງເຊົ້າ ເທດຕໍ່ເນື່ອງໄປສິ້ນສຸດຢູ່ທີ່ເວລາບໍ່ເກີນ ໑໘:໐໐ ໂມງແລງ, ນີ້ມີຫຼາຍ, ນັບແຕ່ປີ ໑໙໗໐ ເປັນຕົ້ນມາ, ທ່ານມະຫາສີລາວິຣະວົງ ກໍໄດ້ລິດຈະນາໜັງສືພຣະເຫວດ ເປັນພາສາລາວໃສ່ປື້ມ ແລະຕໍ່ມາກໍມີສະບັບຂອງສາທຸໃຫຍ່ຄຳຈັນ ວິຣະຈິດໂຕ ເຈົ້າຄະນະແຂວງຫຼວງພຣະບາງພິມ, ໜັງສືສອງສະບັບນີ້ ຖືໄດ້ວ່າເປັນສະບັບມາດຕາຖານ ແລະເປັນທີ່ນິຍົມຂອງນັກຂຽນໜັງສືໃບລານ ທີ່ສຸດໃນການທີ່ຈະກ່າຍອອກເປັນຕົວທັມ ໃສ່ໜັງສືໃບລານຄືນ ເພາະຖືກຕ້ອງ ຕາມພາສາລາວ ແລະພາສາປາລີ, ແລະມີຜູ້ສັດທາກ່າຍຕໍ່ກັນມາເລື້ອຍໆ ເພື່ອເອົາໄປຖວາຍໄວ້ວັດຕ່າງໆທົ່ວປະເທດລາວແລ້ວ ເຮັດໃຫ້ໜັງສືພຣະເຫວດໃນຍຸກປັດຈຸບັນ ມີຄວາມຄ້າຍກັນເກືອບທົ່ວປະເທດ ໃນເລື່ອງຂອງສຳນວນແຫ່ງການໃຊ້ພາສາ ແລະເລື່ອງຂອງ ການຂະຫຍາຍຄວາມ.
ສ່ວນໜັງສືພຣະເຫວດແບບສຳນວນລາວນັ້ນ ແມ່ນມີການໃຊ້ຢ່າງຫຼວງຫຼາຍໃນຫົວເມືອງອີສານຂອງໄທຍ໌ ເທົ່າທີ່ຜູ້ຂຽນໄດ້ພົບແມ່ນພຣະພຸດຖາຈານອາດອາສາພະ ເຖຣະແຫ່ງວັດມະຫາທາດ ໄດ້ພິມເປັນອັກສອນໄທຍ໌ ແຕ່ເພິ່ນໄດ້ຖືເອົາແບບທີ່ພົບໃນພາກອີສານ(ແຂວງຮ້ອຍເອັດ)ເປັນຕົວຢ່າງໃນການປະຣິວັດເປັນອັກສອນໄທຍ໌ ແລະເອົາສະບັບທ່ານມະຫາສີລາວິຣະວົງ ແລະແບບເມືອງຫຼວງ(ສົງໄສແມ່ນແບບຂອງສາທຸໃຫຍ່ຄຳຈັນ) ສະບັບອ້າງອິງ ເພາະເພີ່ນໃຊ້ຄຳວ່າ ສະບັບຫຼວງພຣະບາງ ເພິ່ນສະຫຼຸບວ່າສ່ວນໃຫຍ່ຈະເໝືອນກັນ ແລະສ່ວນທີ່ບໍ່ເໝືອນກັນເພິ່ນກໍສົມທຽບໃຫ້ເຫັນດ້ວຍ.
ສ່ວນສະບັບທີ່ມັກໃຊ້ເທດແທ້ໆນັ້ນ ຈະພິມເປັນອັກສອນໄທຍ ໃສ່ເຈັ້ຍພິມທີ່ ໂຮງພິມລ່ຽງຊ່ຽງຈົງຈະເຣີນ ເປັນເຈັ້ຍເຮັດແບບເຈັ້ຍສາ, ສຳນວນລາວທັງໝົດ, ຕ່າງແຕ່ ພິມເປັນອັກສອນໄທຍ໌ເທົ່ານັ້ນ, ຢ່າງໃດກໍຕາມໜັງສືພຣະເວດໃນຫົວເມືອງອີສານນັ້ນແມ່ນສະບັບສຳນວນລາວ, ເພາະສະບັບສຳນວນພາສາໄທຍ໌ນັ້ນກໍມີຕ່າງຫາກ ສະນັ້ນທີ່ເມືອງໄທຍ໌ ມີໜັງສືພຣະເວດສອງແບບ ຄືສະບັບແບບອີສານ ແລະສະບັບແບບໄທຍ໌(ຄື ແບບພາສາໄທຍ) ສ່ວນສະບັບລ້ານນານັ້ນ ແມ່ນຈະມີລັກສະນະດຽວກັບລາວ ເຖິງມີຕ່າງແນ່ກໍເລັກນ້ອຍ ຖືວ່າເປັນໜັງສືແບບພາສາລາວເລີຍ ເພາະມີວິວັດທະນະນາການມາທາງດຽວກັນຢູ່ແລ້ວ, ສຳລັບໜັງສືພຣະເຫວດຂອງລາວກັບຂອງອີສານນັ້ນ ມີລັກ ສະນະເໝືອນກັນ ກໍຍ້ອນວ່າຊວອີສານເປັນສ່ວນໜຶ່ງຂອງລ້ານຊ້າງມາກ່ອນ ແລະດຳຣົງວັດທະນະທັມຮີດ ໑໒ ຄອງ ໑໔ ດຽວກັນກັບລາວ, ຈະວ່າໃຜເອົາແບບໃຜນັ້ນ ຂໍຕອບວ່າອີສານແມ່ນມີຕົ້ນແບບຈາກຈຳປາສັກ ແລະວຽງຈັນ ເພາະວ່າສູນກາງອຳນາດທາງວັດ ທະນະທັມອີສານນັ້ນແມ່ນຢູ່ວຽງຈັນ ແລະຈຳປາສັກຢູ່ແລ້ວ ເຫັນໄດ້ຈາກຫົວເມືອງອິສານ ທັງໝົດນັ້ນໃນເມື່ອກ່ອນຂຶ້ນກັບນະຄອນຈຳປາສັກ ແລະນະຄອນວຽງຈັນ.
ໜັງສືພຣະເຫວດສັນຕະຣະຊາດົກນັ້ນ ຈະເປັນສະບັບໃດກໍຕາມ ຈະມີພັນພຣະຄາຖາ ດ້ວຍເຫດນັ້ນ ບາງແຫ່ງຈຶ່ງຮຽກວ່າ “ຟັງທັມຄາຖາພັນ” ຄືວ່າ ເມື່ອຈະເຮັດບຸນພຣະເຫວດ ມັກ ຈະແຕ່ງຄາຖາພັນ ສ່ວນຄາຖາພັນແຕ່ງ ຢ່າງໃດໃຫ້ໄປສຶກສາໃນໜັງສື ແຫ່ງພຣະເຫວດເຂົ້າເມືອງ ຂອງພຣະອາຈານເນືອງພິລັກ ໂຊຕິທອນ-ອາຈານບຸນເຕີມ ສີບຸນເຮືອງ ພິມໃນປີ ໒໐໐໔, ແລະ ໜັງສືພຣະເຫວດຂອງມະຫາສີລາ ວິຣະວົງ ແລະຂອງສາທຸໃຫຍ່ຄຳຈັນ ວິຣະຈິຕໂຕ.

ໜັງສືອ້າງອີງ:​ ​ ​- ໜັງສືລຳພຣະເຫວດ ໜັງສືທັມໃບລານ ທີ່ວັດຂະເໝົາໂພນຈຳປາ(ໜັງ ສືຜູກສະບັບເດີມ) - ໜັງສືລຳພຣະເຫວດ ມະຫາສີລາ ວິຣະວົງ ພີມປີ ໑໙໗໒. - ໜັງສືລຳພຣະເຫວດ ສາທຸໃຫຍ່ຄຳຈັນ ວິຣະຈິໂຕ ວັດແສນສຸຂະຣາມ. - ໜັງສືລຳພະເຫວດສະບັບຫຍໍ້ ສຳນັກຄົ້ນຄວ້າພຸດທະສາສນາ ຂອງພຣະ ອາຈານພິມໂພ ເຕຊະທັມໂມ. - ໜັງສືເທດແລ່ ເຊີນພຣະເຫວດເຂົ້າເມືອງ ພຣະອາຈານຊາເນືອງພິລັກ ໂຊ ຕິທອນ ແລະອາຈານບຸນເຕີມ ສີບຸນເຮືອງ., ພິມ ປີ ໒໐໐໔.

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ຕາມຫາອານາຈັກອ້າຍລາວ

ມື່ອຜູ້ຂຽນ ຈື່ຈຳໄດ້ຈາກນິທານເລື່ອງອັກສອນລາວໄດ້ຈາກພະຍາແຖນນັ້ນ ເຫັນໄດ້ຕອນໜຶ່ງຂອງ ເລື່ອງວ່າ “ໃນບ້ານນັ້ນມີຄົນຢູ່ນຳກັນ ໓ ກຸ່ມຄື ກຸ່ມຈີນຢູ່ຫົວບ້ານ, ກຸ່ມລາວຢູ່ກາງບ້ານ ແລະກຸ່ມກຼອມ ຢູ່ທ້າຍບ້ານ” ນັ້ນ, ທັງສາມຊົນຊາດນີ້ລ້ວນແຕ່ນັບຖືແຖນອົງດຽວກັນ, ດ້ວຍຫຼັກຖານທາງຄຳເວົ້າ ເຊັ່ນນີ້ ເມື່ອເຮົາມາມອງທາງດ້ານປະຫວັດສາດແລ້ວ, ຊົນຊາດທີ່ປາກົດຕາມນິທານກ່າວໄວ້ຮອດປັດຈຸບັນນີ້ ມີ ຈີນ, ລາວ ແລະຂະເໝນ, ເຖິງຄຳວ່າ ກຼອມ ເຊິ່ງລາວໄທຍ໌ມັກຮຽກເຂົາວ່າຂອມນັ້ນ, ກ່າວວ່າກາຍເປັນຊົນ ຊາດຂະເໝນໄປແລ້ວ, ເຖິງຖ້າວ່າຂະເໝນ ບໍ່ແມ່ນຊົນຊາດກຼອມກໍຕາມ ແຕ່ໃນຕອນໃຕ້ຂອງຂະເໝນນັ້ນ ມີຊົນຊາດຂະເໝນຊົນຊາດໜຶ່ງວ່າ “ຂະແມກຼອມ” ອາດມີສ່ວນພົວພັນກັບຊົນຊາດກຼອມໃນນິທານນັ້ນກໍໄດ້.

ຢ່າງໃດກໍຕາມ ຄຳວ່າ “ຈີນ, ລາວ ແລະຂະເໝນ” ໄດ້ຢູ່ໃນບ້ານດຽວກັນ, ການຕັ້ງຖິ່ນຖານຕາມນິ ທານກ່າວເຖິງ ກໍແມ່ນວ່າ ຈີນຢູ່ຫົວບ້ານ, ລາວຢູ່ກາງບ້ານ ແລະກຼອມຢູ່ໃຕ້ບ້ານ, ເມື່ອມາແລເບິ່ງລັກສະນະ ທາງພູມສາດແລ້ວ, ຈີນຢູ່ເໜືອລາວ, ລາວຢູ່ກາງ ແລະຂອມ ຫຼືຂະເໝນຢູ່ໃຕ້, ມັນກໍເປັນດັ່ງນິທານກ່າວໄວ້ ໂດຍບໍ່ມີຜິດ.
ຫາກເຮົາເຊື່ອວ່າ ຊົນາຊາດຂອມເປັນຊົນຊາດທີ່ມີຈິງໃນໂລກນີ້ ແລະຂອມເອງກໍຕັ້ງອານາຈັກຢູ່ ທາງຕອນໃຕ້ຂອງລາວແທ້, ເມື່ອເຮົາສຶກສາເບິ່ງດິນແດນທີ່ຂອມຂະຫຍາຍອິດທິພົນໃນສະຕະວັດທີ ໑-໑໒ ນັ້ນ, ເຮົາເຫັນວ່າດິນແດນຂອງຂອມໄດ້ກວາມເອົາລົບບູຣີ, ສຸໂຂໄທ, ວຽງຈັນ ອາດເກີນເລີຍໄປຮອດ ເມືອງຊວາຂອງລາວພຸ້ນ.


ເມື່ອມາເບິ່ງບາດລ້ຽວປະຫວັດສາດຕອນນີ້ເຮົາອານາຈັກຂອງຄົນລາວເຮົານັ້ນຢູ່ໃສ ? ມັນກະເປັນ ທີ່ແນ່ນອນແລ້ວວ່າ ເມື່ອລາວຢູ່ເໜືອນກຼອມ ອານາຈັກຂອງຄົນລາວກໍຕ້ອງຢູ່ດິນແດນອັນເປັນຂອງຂອມ ຂຶ້ນເມື່ອ, ໃນຫຼັກຖານທາງປະຫວັດສາດທີ່ເຮົາຮູ້ກັນທົ່ວໄປວ່າ “ອານາຈັກຂອງອ້າຍລາວນັ້ນ ມີສູນກາງຢູ່ ອານາຈັກໜອງແສ ເມືອງແຖນ” ເມື່ອເປັນເຊັ່ນນັ້ນ ມັນກະສອດຄ່ອງກັບຫຼັກຖານທາງພູມສາດ ແລະປະ ຫວັດສາດແລ້ວວ່າ ອານາຈັກຂອງຈີນຕ້ອງຢູ່ເໜືອລາວຂຶ້ນເມືອ.
ສະນັ້ນ, ຈີນ, ລາວ ແລະຂອມ ຈຶ່ງເປັນຊົນຊາດ ທີ່ເກົ່າແກ່ເໜືອກວ່າຊາດອື່ນໃດໃນໂລກ ໃນ ດິນແດນແຖບນີ້, ອີກຢ່າງໜຶ່ງ ໃນນິທານຍັງບອກອີກວ່າ ຈີນ, ລາວ, ກຼອມນັ້ນ ອາໄສຢູ່ໃນບ້ານດຽວກັນ ຄວາມສຳຄັນອັນນີ້ມັນໄດ້ສະແດງໃຫ້ເຫັນວ່າ ໓ ຊົນຊາດໃຫຍ່ນີ້ ຕ້ອງຢູ່ຮ່ວມກັນ ແລະມີການພົວພັນ ກັນມາບໍ່ວ່າທາງດ້ານເສດຖະກິດ, ສັງຄົມ ແລະວັດທະນະທຳ ເວົ້າເຖິງອານາຈັກນັ້ນ ໃນບັນດາດິນແດນ ທີ່ມີຄົນຈີນຢູ່ ອາດມີຄົນລາວ ແລະຄົນກຼອມປົນກັນຢູ່ດ້ວຍ.


ເມື່ອເຮົາມາມອງຕາມຫຼັກຖານທາງຣັດຖະສາດແລ້ວ ບັນດາເມືອງຕ່າງໆໃນດິນແດນຕອນນີ້ ເປັນ ອານາຈັກແບບນະຄອນລັດ ການສ້າງຕັ້ງຂອງບັນດາຊົນຊາດຕ່າງໆ ກໍແມ່ນຕ້ອງໄດ້ຢູ່ໃກ້ຄຽງກັນ ຫຼືປົນກັນ ຢູ່ຕາມຂອບເຂດຂອງຕົນ ຈົນຕາບເມື່ອໂລກໄດ້ວິວັດທະນາການມາເປັນສັງຄົມອານາຈັກບັນດາຫົວເມືອງ ເຂັ້ມແຂງຈຶ່ງໄດ້ລວບລວມເອົາຫົວເມືອງນ້ອຍໃຫຍ່ສ້າງຕັ້ງເປັນອານາຈັກຂອງຕົນຫຼາຍອານາຈັກ ແຕ່ໃນນັ້ນ ຍັງມີອານາຈັກຈີນ ແລະອານາຈັກລາວ ທີ່ຍັງຄົງຢູ່ເທົ້າບັດນີ້ ຍັງເຫຼືອແຕ່ອານາຈັກ ກຼອມ ຫຼືຂອມ ທີ່ຂາດຫາຍໄປ ແລະຂອມນັ້ນເປັນໃຜ ? ຢູ່ໃສດຽວນີ້ ແລະອານາຈັກອ້າຍລາວນັ້ນ ຢູ່ໃສ ຫຼືວ່າຢູ່ນີ້.

ປະຫວັດພຣະທາດຫຼວງ ວຽງຈັນທນ໌ ຫຼື ພຣະເຈດີ ໂລກະຈຸລາມະນີ

ປະຫວັດພຣະທາດຫຼວງ ວຽງຈັນທນ໌
ຫຼື
ພຣະເຈດີ ໂລກະຈຸລາມະນີ
(ພຣະເຈົ້າຈັນທະບູຣີ ປະສິດທິສັກ ຊົງສ້າງພຣະທາດຫຼວງຄັ້ງແຮກ)
ພຣະທາດຫຼວງ ເປັນນາມສາມັນທີ່ປະຊາຊົນໃຊ້ຮຽກກັນ ເຊິ່ງເປັນພຣະທາດ ໃຫຍ່ກວ່າພຣະທາດອື່ນໃນນະຄອນວຽງຈັນ ທີ່ຄົງເຫຼືອຢູ່ຕັ້ງແຕ່ບູຮານະການ ສ່ວນ ຊື່ທາງການອັນເປັນຊື່ແທ້ໆຂອງພຣະທາດອົງນີ້ ເຊິ່ງໄດ້ຕັ້ງມາຕັ້ງແຕ່ສະໄໝພຣະ ເຈົ້າໄຊຍະເຊດຖາທິຣາດນັ້ນ ຊື່ວ່າພຣະເຈດີໂລກະຈຸລາມະນີ ອັນເປັນປູຊະນີຍະສະ ຖານສຳຄັນຍິ່ງ ແຫ່ງນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນທນ໌ນີ້ ກໍຄືປູຊະນີຍະສະຖານທາງພຣະ ພຸດທະສາສະໜາຂອງລາວທັງມວນນີ້ ມີປະຫວັດກ່າວໄວ້ໃນໜັງສືອຸຣັງຄະນິທານ ຫຼືອຸຣັງຄະທາດວ່າ ໄດ້ສ້າງຂຶ້ນໃນສະໄໝດຽວກັນກັບການຕັ້ງ ເມືອງວຽງຈັນທນ໌ຄັ້ງ ແຮກ ລຸນຫຼັງຈາກການສ້າງພຣະທາດພຣະນົມແລ້ວ ຜູ້ສ້າງຄັ້ງທຳອິດແມ່ນພຣະ ເຈົ້າຈັນທະບູຣີປະສິດທິສັກ ເຈົ້ານະຄອນວຽງຈັນອົງແຮກ ພ້ອມກັບພຣະອໍຣະຫັນ ໕ ອົງ ດັ່ງມີຂໍ້ຄວາມກ່າວໄວ້ໃນໜັງສືອຸຣົງຄະນິທານ ເຊິ່ງຂໍຄັດເອົາແຕ່ໃຈ ຄວາມສຳຄັນ ມາກ່າວໄວ້ໃຫ້ຟັງດັ່ງນີ້ :-
ເມື່ອພຣະໂຄດົມບໍຣົມສັມມາສັມພຸດທະເຈົ້າ ປະຣິນິພານແລ້ວໄດ້ ໘ ປີປາຍ ພຣະມະຫາກັດສະປະເຖຣະ ໄດ້ນຳເອົາອຸຣັງຄະທາດ ຄືດູກຫົວເອິກຂອງພຣະພຸດທະ ເຈົ້າ ມາປະດິດສະຖານໄວ້ທີ່ພູກຳພ້າ ເຊິ່ງຮຽກວ່າດອຍກະປະນະຄີຣີ (ຄືພຣະທາດ ພນົມທຸກວັນນີ້) ໃນເວລາກໍ່ພຣະທາດຄັ້ງແຮກທີ່ພູກຳພ້ານັ້ນ ໄດ້ພຣະກະສັດທັງ ໕ ນະຄອນມາຮ່ວມຊຸມນຸມກັນຄື :-
໑. ພຣະຍາສຸວັນນະພິງຄານ ເຈົ້າເມືອງໜອງຫານຫຼວງ.
໒. ພຣະຍາຄຳແດງ ເຈົ້າເມືອງໜອງຫານນ້ອຍ.
໓. ພຣະຍານັນທະເສນ ເຈົ້າເມືອງມະຣຸກຂະນະຄອນ ຄືເມືອງ ທ່າແຂກເກົ່າ.
໔. ພຣະຍາອິນທະປັດຖະນະຄອນ ເມືອງອິນທະປັດຖະ ປະເທດຂະເໝນ
໕. ພຣະຍາຈຸລນີພົມທັດ ເມືອງປາການ (ຄືແຂວງຊຽງຂວາງ).
(ຄຳວ່າ ປາການ ໝາຍເຖິງເມືອງດ່ານ ຫຼືເມືອງຂອບຂັນ, ເປັ່ນຄຳວ່າປ້ອມປາການ ເຫຼົ່ານີ້ເປັນຕົ້ນ, ບາງທ່ານກໍວ່າເມືອງແກວປະກັນ (ມະຫາສີລາ ວິລະວົງ).
ຕໍ່ມາເມື່ອພຣະຍາສຸວັນນະພິງຄານ ເມືອງໜອງຫານຫຼວງ ແລະພຣະຍາ ຄຳແດງ ເມືອງໜອງຫານນ້ອຍ ສຸຣະຄົຕ(ຕາຍ)ໄປແລ້ວ ເລີຍເກີດນ້ຳຖ້ວມເມືອງ ທັງສອງໄຫຼລ່ວງເຖິງກັນ ຊາວເມືອງທັງສອງ ຈຶ່ງອົບພະຍົກໜີຂຶ້ນມາຕັ້ງ ຢູ່ແຄມນ້ຳ ຂອງ ໃນພວກອົບພະຍົກນີ້ມີຜູ້ໜຶ່ງຊື່ວ່າທ້າວຄຳບາງເປັນນ້າບ່າວຂອງ ພຣະຍາສຸວັນ ນະພິງຄານ ເມືອງໜອງຫານຫຼວງ ໄດ້ພາບ່າວໄພ່ບໍຣິວານຂຶ້ນມາຕັ້ງເມືອງໃໝ່ ຢູ່ ແຄມຫ້ວຍເກົ້າລ້ຽວໃກ້ແມ່ນຳ້ຂອງ ໃສ່ຊື່ເມືອງໃໝ່ນີ້ວ່າເມືອງສຸວັນນະພູມ ສ່ວນ ບ່າວໄພ່ບໍຣິວານ ກໍພາກັນແຍກຍ້າຍໄປຕັ້ງບ້ານຢູ່ອ້ອມແອ້ມເມືອງນັ້ນ, ໃນເວລານັ້ນ ມີຊາຍຄົນໜຶ່ງຊື່ວ່າບຸຣີຈັນ ໄດ້ພາຍາດພີ່ນ້ອງມາຕັ້ງ ບ້ານຢູ່ປາກໜອງຄັນແທເສື້ອ ນ້ຳ, ເຊິ່ງຮຽກວ່າບ້ານໜອງຄັນແທເສື້ອນ້ຳ ໃນຕອນນັ້ນມີພຣະອໍຣະຫັນ ໒ ອົງ ໄດ້ ມາໂຜດ ຊາວບ້ານໜອງຄັນແທອົງໜຶ່ງຊື່ວ່າ ມະຫາພຸດທະວົງສາ ທ່ານຜູ້ນີ້ພັກເຊົາ ຢູ່ແຄມນຳ້ຂອງ, ອີກອົງໜຶ່ງຊື່ວ່າມະຫາສັສດີ ທ່ານພັກເຊົາຢູ່ບ້ານປ່າໂພນເໜືອນ້ຳ ບຶງ(ອາດຈະແມ່ນບໍຣິເວນທາດຝຸ່ນ ທຸກວັນນີ້) ບຸຣີຈັນເປັນຫົວໜ້າບ້ານໜອງຄັນແທ ໄດ້ເປັນຜູ້ອຸປະຖາກພຣະອໍຣະຫັນສອງອົງນີ້.
ໃນສະໄໝດຽວກັນນີ້ ທາງເມືອງສະເກດນະຄອນ(ຄືເມືອງຮ້ອຍເອັດ) ກໍ່ ເກີດ ຄວາມວຸ້ນວາຍ ເນື່ອງດ້ວຍມີຂ້າເສິກຊາວເມືອງກະຣຸນທະນະຄອນ ຄື ທະວາຣາວະ ດີອະຍຸທິຍາ ຍົກທັບມາຮົບກວນຊາວເມືອງສະເກດນະຄອນ ຈຶ່ງແຕກໜີມາເພິ່ງທ້າວ ຄຳບາງ ມີໝື່ນຫຼວງກາງໂຮງກັບໝື່ນນັນທະອາຣາມ ໄດ້ພາເອົາເຈົ້າ ສັງຂະວິຊາກຸມ ມານ ກັບຄົວບ່າວໄພ່ສອງແສນຄົນ ໜີຂຶ້ນມາຕັ້ງບ້ານເຮືອນໃນລ້ອງແມ່ນຳ້ຂອງ ໃນ ເວລານັ້ນເຈົ້າ ສັງຂະວິຊາໄດ້ພາບ່າວໄພ່ແສນຄົນມາຕັ້ງຢູ່ບ້ານໜອງຄາຍ ແລະຢາຍ ມາຕາມລ້ອງແມ່ນຳ້ຂອງຮອດຫ້ວຍບັງພວນ, ໝື່ນຫຼວງກາງໂຮງ ພາຄົວ ໕໐,໐໐໐ ຄົນ ມາຕັ້ງຢູ່ຫ້ວຍຄຸຄຳ, ໝື່ນນັນທະອາຣາມພາຄົວ ໕໐,໐໐໐ ຄົນມາຕັ້ງຢູ່ຕາມຫ້ວຍ ນົກຍູງ ຫຼືຫ້ວຍນຳ້ໂມ່ງ ບໍຣິເວນນີ້ຈຶ່ງມີ ຄົນໜາແໜ້ນຕໍ່ມາ.
ຢູ່ຕໍ່ມາບຸຣີຈັນ ຫົວໜ້າບ້ານໜອງຄັນແທ ມາໄດ້ກັບນາງອິນສະຫວ່າງທິດາ ຂອງທ້າວບາງ ເຈົ້າເມືອງສຸວັນນະພູມ ແລະບຸຣີຈັນຈຶ່ງຕັ້ງບ້ານໜອງຄັນແທ ຂຶ້ນ ເປັນເມືອງຮຽກວ່າເມືອງຈັນທະບູຣີ ຕາມນາມຂອງຕົນເມື່ອບູຣີຈັນຕັ້ງເມືອງຂຶ້ນ ແລ້ວ ຈຶ່ງຈັດແຈ່ງແຕ່ງເຄື່ອງຣາຊະບັນນາການໄກ ຖວາຍພຣະເຈົ້າສຸມິດຕະທັມມະ ວົງສາ ພຣະເຈົ້າແຜ່ນດິນແຫ່ງເມືອງມະຣຸກຂະນະຄອນ(ຄືເມືອງທ່າແຂກ ຫຼືເມືອງ ໂຄດຕະບູນ) ອົງເປັນເຈົ້າແຜ່ນດິນເອກະຣາດ ພຣະເຈົ້າສຸມິດຕະທັມມະວົງສາ ຈຶ່ງ ແຕ່ງໃຫ້ພຣາມ ໕ ຄົນ ຂຶ້ນມາອະພິເສກບຸຣີຈັນ ໃຫ້ເປັນເຈົ້ານະ ຄອນຈັນທະບູຣີ ມີພຣະນະຄອນວ່າ ພຣະເຈົ້າຈັນທະບູຣີປະສິດທິສັກ ພ້ອມກັນນີ້ ຍັງໄດ້ພຣະຣາຊທານນາງກັນລະຍານີ ທີ່ເປັນຄົນເມືອງທ່າແຂກມາໃຫ້ ສອງນາງ ແລ້ວພຣະເຈົ້າສຸມິດຕະທັມມະວົງສາ ຈຶ່ງກຳນົດເຂດແດນເມືອງຈັນ ທະບູຣີມອບ ໃຫ້ຄືທາງໃຕ້ນັບແຕ່ນ້ຳກະດິງຂຶ້ນມາ ແລະທາງຟາກນ້ຳຂອງນັບ ແຕ່ຫ້ວຍບາງ ບາດຂຶ້ນມາ.
ບຸຣີຈັນເມື່ອໄດ້ເປັນເຈົ້ານະຄອນວຽງຈັນທນ໌ແລ້ວ ຈຶ່ງສ້າງຂົວຂ້າມນຳ້ບຶງ ອອກໄປຫາບ້ານເກົ່າ ແລະສ້າງວັດຂຶ້ນໃນບ້ານເກົ່ານັ້ນ ຮຽກວ່າວັດສວນອ່ວຍລ່ວຍ ແຫ່ງໜຶ່ງ, ສ້າງວິຫານຂຶ້ນສອງຫຼັງທີ່ປ່າໃຕ້ ແລະປ່າເໜືອ ສຳລັບໃຫ້ພຣະອໍຣະ ຫັນສອງອົງນັ້ນຢູ່ ຕໍ່ມາພຣະມະຫາພຸດທະວົງສ໌ ຈຶ່ງນຳທາດພຣະອໍຣະຫັນມາ ບັນຈຸໄວ້ໃນວັດປ່າມະຫາພຸດທະວົງ ໄດ້ກົ່ນດິນລົງເລິກ ໕ ວາ ກ້ວາງ ໓ ວາ ກໍ່ດ້ວຍ ດິນຈີ່ ເປັນຮູບຜາສາດເອົາແຜ່ນເງິນລຽນປູຮອງໄວ້ ຈຶ່ງເອົາທາດລົງບັນຈຸແລ້ວ ເອົາຫີນໝາກຄອມຖົມໃຫ້ແໜ້ນ ແລະຝັງສີລາໝາຍໄວ້ ສີລານັ້ນ ສູງ ໓ ວາ ກ້ວາງ ໑ ວາ.
ໃນການຕໍ່ມາຈຶ່ງມີພຣະອໍຣະຫັນ ໕ ອົງໄດ້ນຳເອົາພຣະບໍຣົມ ມະທາດຂອງ ພຣະພຸດທະເຈົ້າ ມາຈາກເມືອງຣາຊຄຶປະເທດອິນເດັຽ ພຣະທາດທີ່ນຳມານັ້ນ ຄື ທາດຫົວເນົ່າ ໒໔ ອົງ ມານັ້ນໄດ້ຜ່ານກາຍມາທາງເມືອງຣະໂວ້(ລົບບູຣີ) ແລະ ເມືອງໂຄຣາດ ແລ້ວເພິ່ນໄດ້ເອົາ ພຣະບໍຣົມມະທາດ ໄປບັນຈຸໄວ້ໃນ ທີ່ຕ່າງໆດັ່ງນີ້.
ພຣະທາດຫົວເນົ່າບັນຈຸໄວ້ທີ່ພູເຂົາຫຼວງ ຫຼື ພູເຂົາລວງ (ເຂົ້າໃຈວ່າແມ່ນ ທາດຫຼວງນີ້ເອງ ເພາະວ່າໃນສີລາຈາຣຶກທາດຫລວງ ຮຽກວ່າ ຄຸຸຍຫະທຸ ປາໂຍ ແປວ່າ: ທາດທີ່ລັບຄື ດູກຫົວເນົ່າ ແຕ່ໜັງສືຳຳນານພຣະທາດບັງພວນ ຢູ່ ບ້ານຫ້ວຍບັງພວນ ຈັງຫວັດ ໜອງຄາຍ ທີ່ຂຽນເປັນອັກສອນທັມ ຮຽກ ວ່າພູເຂົາ ຫຼວງ ຄຳວ່າ ລວງແປວ່າ ນາກ ດັ່ງນັ້ນຄຳວ່າພູເຂົາຫລວງ ອາດຈະ ແປວ່າໂພນ ນາກ).
ທາດຝ່າຕິນຂວາ ບັນຈຸໄວ້ທີ່ເມືອງຫຼ້າ ໜອງຄາຍ (ທາດໜອງຄາຍ ພັງ ລົງນ້ຳໝົດແລ້ວ ປັດຈຸບັນຢູ່ກາງນຳ້ຕໍ່ໜ້າວັດສັງກະຈາຍ ແລະປີ ໒໐໐໖ ທາງ ການເມືອງໜອງຄາຍໄດ້ສ້າງທາດອົງໃໝ່ຂຶ້ນແທນ ດັ່ງທີ່ເຫັນໃນປັດຈຸບັນນີ້).
ທາດແຂ້ວຝາງ ບັນຈຸໄວ້ທີ່ວຽງງົວ ແລະທ່າຫໍແພ (ເຂົ້າໃຈ ວ່າແມ່ນ ບ້ານພະໂຄວຽງຄຸກ ຄື ທາດບັງພວນທຸກວັນນີ້)
ໃນການບັນຈຸພຣະທາດຫົວເນົ່າ ໒໗ ອົງ ໄວ້ທີ່ພູເຂົາຫລວງນັ້ນ ພຣະ ເຈົ້າຈັນທະບູຣີປະສິດທິສັກ ເຈົ້ານະຄອນວຽງຈັນທນ໌ ໄດ້ເປັນປະທານພຣະອົງໄດ້ ໃຫ້ກໍ່ອຸໂມງຫີນກວມໄວ້ ເຕົ້າຝາອຸໂມງທັງ ໔ ດ້ານນັ້ນ ກ້ວາງດ້ານລະ ໕ ວາ ແລະ ໜາ ໒ ວາ ລວງສູງໄດ້ ໔ ວາ ໓ ສອກ ເມື່ອໄດ້ທຳການບັນຈຸພຣະບໍ ຣົມມະທາດ ແລ້ວພຣະເຈົ້າຈັນທະບູຣີ ຈຶ່ງໄດ້ມີພຣະຣາຊອາດຍາໃຫ້ເສນາອາ ມາດສ້າງວິຫານ ຂຶ້ນໃນວຽງຈັນທນ໌ ໕ ຫຼັງ ເພື່ອໃຫ້ເປັນທີ່ຢູ່ຈຳວັດສາ ຂອງພຣະອໍຣະຫັນ ໕ ອົງນັ້ນ.
ຄັນຕໍ່ມາພຣະອໍຣະຫັນ ໒ ອົງທີ່ຢູ່ກ່ອນນັ້ນຄື ພຣະມະຫາພຸດທະວົງສາ ແລະພຣະມະຫາສັສດີ ກໍເຖິງແກ່ການນິພພານໄປ ພຣະເຈົ້າຈັນທະບູຣີ ໄດ້ກະ ທຳການຊາປະນະກິດສຳເລັດແລ້ວ ຈຶ່ງໄດ້ເອົາອັດຖິທາດຂອງພຣະອໍຣະຫັນ ໒ ອົງ ນັ້ນມາບັນຈຸໄວ້ໃນວັດສວນອ່ວຍລ່ວຍ ທີ່ພຣະອົງໄດ້ສ້າງໄວ້ແຕ່ກ່ອນ.
ປະຫວັດສ້າງພຣະທາດຫຼວງຄັ້ງແຣກ ຕາມທີ່ກ່າວໄວ້ໃນໜັງສືອຸຣັງຄະນິ ທານ ຫຼືອຸຣັງຄະທາດ ມີຂໍ້ຄວາມພຽງເທົ່ານີ້ ແລະຕາມປະຫວັດນີ້ ພຣະທາດ ຫຼວງອົງເດີມ ຫຼື ອົງທຳອິດ ທີ່ພຣະຍາຈັນທະບູຣີສ້າງນີ້ ຈຶ່ງສູງແຕ່ພຽງ ໔ ວາ ໓ ສອກ ກ້ວາງດ້ານລະ ໔ ເທົ່ານັ້ນ ແລະພຣະທາດລູກນີ້ ສ້າງບັນ ຈຸທາດຫົວເນົ່າຄື ດູກໂມມຂອງພຣະພຸດທະເຈົ້າ ເຊີ່ງພຣະອໍຣະຫັນ ທັງ ໕ ອົງໄດ້ນຳມາ ແຕ່ເມືອງ ຣາຊຄຶ ປະເທດອິນເດັຍ.

ການສະຖາປານາອານາຈັກລ້ານຊ້າງຍຸກແຮກ

img.laoupload.com | ບໍລິການ ອັບໂຫລດຮູບ ຝາກຮູບ ດາວໂຫລດຮູບ ເກັບຮູບ ສົ່ງຮູບ ຮັກສາຮູບ ຟຣີ!!!!

ອານາຈັກທີ່ເຂັມແຂງຂອງຄົນລາວ ຕັ້ງແຕ່ພຸດທະສະວັດທີ ໘-໑໒ ນັ້ນ, ມີອານາຈັກແຖນ, ອາ ນາຈັກຫິຣັນຍະເງິນຍາງຊຽງແສນ ແລະອານາຈັກນ້ອຍອີກຫຼາຍອານາຈັກ, ສ່ວນອານາອີກອານາ ຈັກ ໜຶ່ງທີ່ຕັ້ງຢູ່ທາງຕອນໃຕ້ຂອງອານາຈັກຫິຣັນຍະເງິນຢາງຊຽງແສນແມ່ນ ອານາຈັກຊວາ ຫຼືຮຽກວ່າ ເມືອງຊວາ, ນັກປະຫວັດຍັງບໍ່ທັນໄດ້ລົງຄວາມເຫັນຄັກແນ່ວ່າ ເປັນຂອງຊົນຊາດລາວ ຫຼືຊົນຊາດໃດກັນ ແທ້ ຕັ້ງແຕ່ພຸດທະສະຕະວັດທີ ໑໒ ກັບໄປ, ບາງທ່ານວ່າເປັນເມືອງເຊົ່າ ແລະບາງທ່ານວ່າເປັນເມືອງ ຂອງຊົນຊາດຊວາ ຄືຊົນຊາດຂອງຂອມກຸ່ມໜຶ່ງ.
ການສະຖາປານາອານາຈັກແຮກຂອງຊົນຊາດລາວ ຊາວລ້ານຊ້າງນີ້ນັບເປັນເລື່ອງທີ່ສຳຄັນ ທີ່ຈະຕ້ອງໄດ້ສຶກສາຄົ້ນຄວ້າກັນຢ່າງຄັກແນ່ ເພື່ອໃຫ້ເຫັນຄວາມຈະແຈ້ງແຫ່ງປະຫວັດສາດຂອງຊາດ ລາວ.
ນັກປະຫວັດສາດລາວ ແລະຕ່າງປະເທດເຊື່ອວ່າ ຊາວລາວເປັນຊາດເກົ່າແກ່ກຳເນີດຊາດ ເຜົ່າ ພັນ ແລະວັດທະນະທັມຂອງຕົນມາແລ້ວບໍ່ຕ່ຳກວ່າ ໕໐໐໐ ປີ, ດັ້ງເດີມຕັ້ງຖິ່ນຖານຢູ່ລະຫວ່າງແມ່ນຳ້ ຫວງໂຫ ກັບແມ່ນ້ຳແຢງຊີກຽງ ແຖບມົນທົນເສສວນ ໃນປະເທດຈີນປັດຈຸບັນ, ຕໍ່ມາໄດ້ຖືກຈິນຮຸກຮານ ຈຶ່ງໄດ້ອົບພະຍົບຂະຫຍາຍຕົວລົງມາທາງຕອນໃຕ້ ນັກປະຫວັດສາດບາງທ່ານວ່າຖືກຮຸກຮານ ນັກປະ ຫວັດສາດບາງທ່ານວ່າຍ້ອນການຂະຫຍາຍຕົວຂອງຊົນຊາດ ໄດ້ເພີ່ມຂຶ້ນຈຶ່ງໄດ້ແຍກຍ້າຍຫົວເມືອງ ຂອງຕົນອອກ ຈົນມາເຖິງແຖວມົນທົນເສສວນໃນປະເທດຈີນ, ເຊິ່ງຮຽກວ່າ ອານາຈັກໜອງແສ ຫຼືອາ ນາຈັກນ່ານເຈົາ ໂດຍໄດ້ມີຄວາມຈະເລີນຮຸ່ງເຮືອງ ແລະໄດ້ດຳຣົງຄວາມເປັນເອກະຣາດໃນທີ່ນີ້ຫຼາຍ ຮ້ອຍປີ ບາງທ່ານວ່າອານາຈັກນ່ານເຈົ້າແມ່ນສູນກາງຂອງອານາຈັກແຖນ ແຕ່ນັກປະຫວັດສາດບາງ ທ່ານສະເໜີວ່າ ມີເມືອງແຖນອີກເມືອງໜຶ່ງຂອງຄົນລາວ ຢູ່ລ່ອງແມ່ນນ້ຳແດງ ແມ່ນ້ຳດຳ ຊື່ວ່າເມືອງ ແຖນ ເຊິ່ງຫວຽດນາມຮຽກຊື່ໃໝ່ວ່າ “ດຽນບຽນຟູ” ເຊິ່ງຄຳວ່າ “ດຽນ” ແປອາດມີຄວາມໝາຍວ່າ “ຖຽນ, ທຽນ ຫຼືແຖນກໍໄດ້” ຄຳວ່າ “ບຽນ” ອາດໝາຍເຖິງ “ສູງ” ຄຳວ່າ “ຟູ” ອາດແຝງມາຈາກຄຳວ່າ “ພູ” ໃນພາສາຫວຽດນາມ.
ອານາຈັກນ່ານເຈົ້ານັ້ນ ມີຊື່ໜຶ່ງວ່າ “ຕາລີຟູ” ຄຳວ່າ “ຟູ” ໃນພາສາຈີນ ອາດມີສ່ວນກ່ຽວພັນກັບ “ຟູ” ໃນພາສາຫວຽດນາມກໍໄດ້, ຢ່າງໃດກໍຕາມ ມີຄຳສັນນິຖານໃໝ່ວ່າ “ອານາຈັກນ່ານເຈົາວ່າ ເປັນ ເມືອງຫຼວງຂອງຊົນຊາດຕລີຟູ” ມີຄຳປະຕິເສດວ່າບໍ່ແມ່ນຂອງຊົນຊາດໄຕ-ລາວ, ຈົນເຖິງສະໄໝຂອງ ຂຸນບູຣົມຣາຊາທິຣາດ ຄອວອານາຈັກນ່ານເຈົ້າ, ບາງກະແສວ່າ ຄອງເມືອງແຖນ ເມືອງແຖນທີ່ແທ້ນັ້ນ ຢູ່ເມືອງນ່ານເຈົ້າ ຫຼືເມືອງແຖນ ນານ້ອຍອ້ອຍໝູກັນແທ້ (ຄວນແກ່ການສຶກສາໃຫ້ຈະແຈ້ງ) ພຣະອົງ ຈຶ່ງໄດ້ສະຖາປານາເມືອງນານ້ອຍອ້ອຍໝູ ຫຼືເມືອງກາຫຼົງ (ມະຫາສີລາ ວິຣະວົງສ໌ ເຊື່ອວ່າເມືອງນາ ນ້ອຍອ້ອຍໝູ ຫຼືເມືອງກາຫົຼງນີ້ ຢູ່ທີ່ເມືອງແຖນ ດຽນບຽນຟູ ໃນດິນແດນສິບສອງຈຸໄທ ໃນປະເທດ ຫວຽດນາມປັດຈຸບັນ ບໍ່ແມ່ນດິນແດນ ເມືອງຕາລີ ຫຼືເມືອງໜອງແສ ດັ່ງນັກປະຫວັດບາງທ່ານກ່າວ ເຖິງ)
ໃນພົງສາວະດານ ລ້ານຊ້າງກ່າວວ່າ ຂຸນບູຣົມຣາຊາທິຣາດ ແຜ່ຂະຫຍາຍອານາຈັກອອກໄປ ໂດຍສ່ົງໂຣຣົດ ໗ ພຣະອົງ(ອັນນີ້ສະແດງໃຫ້ເຫັນວ່າ ລາວໃນສະໄໝຂອງຂຸນບູຣົມນີ້ມີຄວາມເຂັ້ມແຂງ ທີ່ສຸດ ສາມາດຂະຫຍາຍອານາຈັກໄດ້) ໂດຍໃຫ້ໂອຣົດໄປປົກຄອງປະເທດຕ່າງໆ ເມືອງຕ່າງໆ ທີ່ປາ ກົດໃນພົງສາວະດານລ້ານຊ້າງ ແລະພົງສາວະດານຊົນຊາດລາວ-ໄຕ, ຕ່າງນັ້ນຢູ່ໃນເຂດພູມີພາກ ອິນດູຈີນຕອນເໜືອ ໃນລ່ອງແມ່ນ້ຳຂອງ ແລະສາຂາຂອງມັນ ໃຕ້ສູດຢູ່ທີ່ຊຽງຂວາງ ຫຼວງພຣະບາງ ດ່ັງນີ້:
໑. ຂຸນລໍ ເປັນໂອຣົດອົງແຮກ ປົກຄອງເມືອງຊວາ ເມືອງຊວາໄດ້ພັດທະນາການຊື່ເມືອງມາ ຈາກຊຽງດົງ, ຊຽງດົງຊຽງທອງ ແລະຫຼວງພຣະບາງໃນທີ່ສຸດ.
໒. ຂຸນຜາລ້ານ ປົກຄອງເມືອງຫໍແຕ (ຕາຫໍ ຫຼືສິບສອງພັນນາ ບາງຄັ້ງກໍປາກົດເຫັນຄຳວ່າ ລ້ານຊ້າງປັນນາ).
໓. ຂຸນຈຸສົງ ປົກຄອງເມືອງໂກດແທ້ແຜນໂປມ (ເມືອງຫວຽດນາມປັດຈຸບັນ)
໔. ຂຸນຄຳຜົງ ປົກຄອງເມືອງລ້ານນາ (ອາດແມ່ນຊຽງແສນ).
໕. ຂຸນອິນ(ງົວອິນ) ປົກຄອງລ້ານເພັຍສີອາຍຸທະຍາ(ລະໂວ້).
໖. ຂຸນກົມ ປົກຄອງເມືອງມອນ(ອິນທະປັດ, ຫົງສາວະດີ).
໗. ຂຸນເຈືອງ ປົກຄອງເມືອງພວນ (ຊຽງຂວາງ-ມີການເຊື່ອກັນວ່າ ຂຸນເຈືອງ ປາກົດໃນວັນນະ ກັມ “ທ້າວຮຸ່ງ-ທ້າວເຈືອງ”.
ເປັນທີ່ໜ້າສັງເກເວ່າ ໂອຣົດທັງໝົດຂອງຂຸນບູຣົມຣາຊາທິຣາດນັ້ນ ໄປປົກຄອງເມືອງຕ່າງໆ ຈະໃຊ້ຄຳວ່າປົກຄອງ ນັ້ນໝາຍເຖິງອຳນາດອະທິປະໄຕຂອງອານາຈັກແຖນນັ້ນ ມີຄວາມເຂັ້ມແຂງ ແລະສິ່ງໜຶ່ງທີ່ບໍ່ໄດ້ກ່າວເຖິງ ຄືບໍ່ມີໂອຣົດອົງໃດຂອງຂຸນບູຣົມຣາຊາທິຣາດ ປົກຄອງເມືອງແຖນເລີຍ ນັ້ນສະແດງວ່າ ການຂະຫຍາຍອານາເຂດຂອງຂຸນບູຣົມນັ້ນ ເປັນໄປດ້ວນສັນຕິທັມ ຂຸນບູຣົມນັ້ນນັບວ່າ ເປັນຕົນຕະກູນສຳຄັນພຣະອົງໜຶ່ງຂອງລາວ ແລະໄລຍະຕໍ່ມາຂຸນບູລໍ ໄດ້ເປັນໃຫຍ່ໃນອານາຈັກລ້ານ ຊ້າງ ເຊື່ອກັນວ່າຂຸນລໍເປັນຜູ້ສະຖາປານາອານາຈັກລ້ານຊ້າງຄັງແຮກ ແລະໃນສະໄໝດຽວກັນນັ້ນ ນັກປະຫວັດສາດໄດ້ລົງຄວາມເຫັນວ່າ ຂຸນລໍໄດ້ພຣະຣາຊະທານນາມພຣະຣາຊະທານີວ່າ “ຊຽງທອງ” ແລະສະຖານປານາອານາຈັກຊວາ ມາເປັນອານາຈັກລ້ານຊ້າງໃນປີ ພ.ສ ໑໓໐໐, ເມື່ອຊົນຊາດລາວ ໄດ້ລົງມາສະຖາປານາອານາຈັກລ້ານຊ້າງແລ້ວ ກໍມີພົນລະເມືອງຫຼາຍຂຶ້ນ ໄດ້ປະສົບເຜົ່າພັນກັບຊົນ ຊາດຊວາ (ຂອມບູຮານ) ບາງພວກກໍໝົດອຳນາດ ຢູ່ຕາມພູເຂົາ, ບາງພວກອົບພະຍົບລົງໃຕ້ໄປຢູ່ໃນ ດິນແດນສຍາມ, ຂອມ, ມອນແລະລົງທະເລໄປໃນດອນຊວາ.
ອານາຈັກລ້ານຊ້າງ ໄດ້ດຳຣົງຄົງຄວາມເປັນເອກະຣາດມາຈົນເຖິງສະໄໝພຣະເຈົ້າສຸວັນນະຄຳ ຜົງໃນ ພ.ສ ໑໘໘໐ ປາຍ ຈຶ່ງເຖິງສະໄໝພຣະເຈົ້າຟ້າງຸ່ມມະຫາຣາດມາສະຖານປານາຈັກລ້ານຊ້າງ ໃນປີ ພ.ສ ໑໙໐໒.