วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ນິທານປາແດກ ປາສະໝໍ

        ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ตัตตาการา (ล. ตัณหังการ) มีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่าพรหมทัต มีมเหสีพระนามว่าวรุณวดีราชเทวี ปกครองเมืองพาราณสีด้วยทศพิธราชธรรม ยังมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าปาจินคาม ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ มีประมาณ ๓๐๐ หลังคาเรือน มีนายกวานบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่าตาแสนไช มีภรรยาชื่อว่านางบัวไข มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่าท้าวบัวพันชั้น เมื่อท้าวบัวพันชั้นอายุได้ ๑๖ ปี ตาแสนไชก็ตายจากไป หลังจากนั้นนางบัวไขก็ไปสู่ขอนางปัททุมมามาเป็นภรรยาท้าวบัวพันชั้น อยู่กินกันมาได้ ๖ ปีก็ยังไม่มีลูก นางบัวไขจึงบอกให้อธิษฐานขอลูกจากเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยแรงอธิษฐานของนางจึงร้อนไปถึงพระอินทร์ แล้วพระอินทร์จึงทรงพิจารณาหาเทวดาผู้ที่จะสิ้นอายุขัย ก็พบว่ามีเทพบุตรตนหนึ่งซึ่งเป็นหน่อพุทธางกูรโพธิสัตว์กำลังจะสิ้นอายุขัย จะจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ พระอินทร์จึงเสด็จไปเชิญเทพบุตรตนนั้นลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา เทพบุตรตนนั้นก็รับแต่โดยดี และก่อนที่จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์พระอินทร์ได้ส่งเทพธิดา ๔ นางลงไปเกิดพร้อมกัน และได้มอบของวิเศษให้แก่เทพธิดาทั้ง ๔ นางลงไปเกิดด้วยดังนี้คือ ได้มอบงาช้างทิพย์คู่หนึ่งพร้อมทั้งแหวนธำมรงค์ให้แก่นางมาสเทพธิดา มอบกงจักรแก้วให้แก่นางพยฆราชกัญญาเทพธิดา มอบดาบสีคันไชให้แก่นางสีหาราชกัญญาเทพธิดา และมอบฆ้องวิเศษให้แก่นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดา ขณะที่ลงมาเกิดพอถึงกลางท้องฟ้าเทพบุตรและเทพธิดาทั้ง ๕ ตนก็ถูกลมพัดให้ไปเกิดคนละแห่ง กล่าวคือนางมาสเทพธิดาลงไปเกิดในครรภ์ของนางโมลีราชเทวีมเหสีของพระยาตุ้ม วังฟ้าฮ่วนกษัตริย์เมืองราชคฤห์ นางพยฆราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางเสือโคร่ง นางสีหาราชกัญญาเทพธิดาลงไปในท้องของนางราชสีห์ นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางช้างน้ำ นางทั้ง ๔ มีรูปโฉมผิวพรรณงดงามมาก ส่วนเทพบุตรได้ลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา ณ บ้านปาจินคาม เมืองพาราณสี มีนามว่า บุษบา เมื่อท้าวบุษบาอายุได้ ๗ ปีท้าวบัวพันชั้นและนางปัททุมมาก็ตายจากไป ท้าวบุษบาจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่าเพียง ๒ คนโดยมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากจน อยู่มาวันหนึ่งท้าวกำพร้าบุษบาลงไปอาบน้ำที่หนองน้ำเห็นคนตกเบ็ดได้ปลามาก มาย จึงอยากจะตกเบ็ดกับเขาบ้าง จึงไปอ้อนวอนย่าให้หาเบ็ดให้ เพราะความยากจนแม้สักว่ามีดจะผ่าฟืนก็ยังไม่มี ย่าจึงห้ามไว้ แต่ท้าวกำพร้าบุษบาก็ยังอ้อนวอนอยู่ จนในที่สุดย่าก็ไปค้นหาของที่พอจะมีค่าบ้างและได้เห็นกระดิ่งทอง ๓ ลูกจึงเอาไปขอแลกเบ็ดกับเด็กชาวบ้านแล้วท้าวกำพร้าบุษบาก็ไปตกเบ็ดได้ปลาหมอ มากมายแล้วจึงหาบกลับบ้านเอามาทำเป็นอาหารกินที่เหลือก็เอามาทำปลาร้าไว้ เพื่อแลกและขายเลี้ยงชีวิต ในวันหนึ่งได้ฝากพ่อค้าสำเภาไปขายที่เมืองหล้าน้ำ พอไปถึงเมืองหล้าน้ำพ่อค้าเปิดไหปลาร้าเพื่อเอาไปขาย แต่ปลาร้ามีกลิ่นเหม็นมากจึงไม่มีคนซื้อ พอถึงตอนกลางคืนพระอินทร์ได้เอาปลาร้าทิพย์ลงมาจากสวรรค์มาใส่ไว้แทน กลิ่นปลาร้าทิพย์หอมฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง พอวันรุ่งขึ้นพ่อค้าสำเภาเปิดไหแล้วชิมดูปรากฏว่าปลาร้านั้นมีรสชาติอร่อย มากจึงปรึกษากันว่าจะนำไปถวายพระราชาเมืองหล้าน้ำเท่านั้นจึงจะเหมาะสม จึงนำไปถวายพระราชาแล้วกลับมาขายของตามเดิม ฝ่ายพระราชาเมืองหล่าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กเปิดดูแล้วกลิ่นก็หอมฟุ้งตระหลบ อบอวลไปทั่วเมืองแล้วจึงชิมดู ปลาร้ามีรสชาติอร่อยมาก พระราชาเมืองหล้าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กควักปลาร้าออกแล้วให้เอาแก้วแหวนเงิน ทองใส่ไว้แทนและเอาปลาร้าปกปิดไว้ข้างบนแล้วปิดไหไว้ดังเดิม วันต่อมาพวกพ่อค้าขายของหมดแล้วจึงมาทูลลาพระราชาเมืองหล้าน้ำกลับ พระราชาจึงตรัสหยอกล้อเล่นกับพ่อค้าสำเภาว่า ปลาร้าในเมืองนี้มีมากมายไม่ต้องการปลาร้าไหนี้ ให้เอากลับคืนไปให้ท้าวกำพร้าเสีย พ่อค้าสำเภาเข้าใจว่าพระราชาตรัสจริง จึงไม่ได้เปิดดู พอกลับมาถึงบ้านจึงไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาเอาไหปลาร้ากลับไป ท้าวกำพร้าก็มาเอาไปเก็บไว้ที่บ้านโดยไม่ได้เปิดดู จนเวลาผ่านไป ๓–๔ ปี พ่อค้าสำเภาไปขายของที่เมืองราชคฤห์ท้าวกำพร้าก็ฝากปลาร้าไหเดิมไปขาย พอไปถึงเมืองราชคฤห์ก็เอาปลาร้าไหนั้นไปถวายพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วน หลังจากพวกพ่อค้าสำเภาลงไปจากปราสาทพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วนก็ให้พวกมหาดเล็ก เปิดดูไหปลาร้านั้น พอหยั่งมือลงไปประมาณข้อมือหนึ่งก็พบแก้วแหวนเงินทองมากมาย จึงทรงดำริว่าไหปลาร้านี้มิใช่ของคนธรรมดา น่าจะเป็นของคนผู้มีบุญญาธิการ และทรงดำริว่าจะยกนางมาสให้แก่เจ้าของไหปลาร้านั้นจึงประชุมเสนาอำมาตย์แล้ว ให้หมอโหรมาทำนายดูดวงชะตาของเจ้าของไหปลาร้า จึงรู้ว่าท้าวกำพร้าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการและเป็นคู่ครองของนางมาสที่ลงมา เกิดจากสวรรค์ด้วยกัน จึงตัดสินใจยกนางมาสให้โดยให้นางมาสเข้าไปอยู่ในงาช้างทิพย์คู่ที่ลงมาจาก สวรรค์พร้อมกับนางมาสพร้อมด้วยแก้วแหวนเงินทองมากมายแล้ว เมื่อพวกพ่อค้าสำเภามาลากลับเมืองก็ให้พวกพ่อค้าสำเภาเอางาช้างคู่นั้นไปฝาก ท้าวกำพร้าบุษบาเป็นค่าปลาร้า เมื่อพวกพ่อค้าสำเภากลับไปถึงเมืองพาราณสีแล้วก็ไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาแบกเอา งาช้างคู่นั้น ท้าวกำพร้าดีใจมากจึงรีบมาหามงาช้างพร้อมกับย่า แต่งาช้างหนักมากต้องใช้คน ๗–๘ คนจึงจะหามได้ เนื่องจากมีเพียงแค่ ๒ คนคือย่าและหลาน นางบัวไขผู้เป็นย่าจึงให้ท้าวกำพร้าบุษบาอธิษฐานว่าถ้าเป็นผู้ที่มี บุญญาธิการจริงก็ให้ยกงาช้างได้โดยง่าย แล้วท้าวกำพร้าก็อธิษฐานและยกงาช้างนั้นขึ้นบ่าหามไปถึงฝั่งน้ำได้โดยง่าย แต่พอจะหามไปบ้านงาช้างนั้นก็กลับหนักอีก ท้าวกำพร้าจึงอธิษฐานให้งาช้างหมุนเวียนไปในทิศที่จะอยู่แล้วมีความสุขความ เจริญ แล้วงาช้างก็เวียนเคลื่อนไปในด้านทิศเหนือไปหยุดอยู่ตรงระหว่างชะง่อนหิน แห่งหนึ่งก็มืดค่ำพอดี แล้วทั้งย่าและหลานก็เฝ้างาช้างคู่นั้น ด้วยความเหนื่อยและความหิวย่าและหลานก็พากันนอนหลับไป ขณะที่ย่าและหลานนอนหลับอยู่นั้น นางมาสก็ออกจากงาช้างมาเนรมิตกระท่อม เอาอาหารทิพย์ออกมาจัดเตรียมไว้และจุดไฟให้สว่าง ย่าและหลานตื่นขึ้นมาเห็นอาหารก็ไม่ยอมกิน เพราะคิดว่าคนที่จัดเตรียมอาหารไว้ให้นั้นต้องการจะฆ่าหรือไม่ก็ปรับสินไหม จึงนอนหลับ นางมาสก็ออกมาอุ้มเอานางบัวไขและท้าวกำพร้าขึ้นไปนอนบนกระท่อมและห่มผ้าให้ แล้วก็เข้าไปอยู่ในงาช้างตามเดิม วันรุ่งขึ้นย่าและหลานจึงไปเก็บข้าวของที่บ้านเพื่อมาอยู่เฝ้างาช้าง พอมาถึงก็มีคนจัดเตรียมอาหารไว้ให้อีก ด้วยความหิวทั้งย่าและหลานจึงกินจนอิ่มแล้วก็มืดค่ำและนอนหลับไป วันต่อมาท้าวกำพร้าใช้อุบายเพื่อจะแอบดูคนที่มาจัดเตรียมอาหารไว้ให้โดยบอก ให้ย่าไปตักน้ำแล้วตนเองก็แอบซุ่มอยู่พุ่มไม้ พอเห็นนางมาสออกมาจากงาช้างเก็บกวาดกระท่อมอยู่ จึงรีบวิ่งไปจับแขนนางมาสเอาไว้ แล้วถามความเป็นมาทุกอย่างต่อจากนั้นทั้ง ๒ ก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากนั้นมาทั้ง ๓ คนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในกระท่อมกลางป่านั้นโดยไม่ได้ไปขอข้าวปลา อาหารเสื้อผ้ากับชาวบ้านอีกต่อไป
              เวลาผ่านไปหลายเดือน ชาวบ้านปาจินคามไม่เห็นย่าและหลานทั้ง ๒ มาขอข้าวปลาอาหารเหมือนเดิมตั้งแต่ไปอยู่เฝ้างาช้าง จึงได้ส่งคนไปสืบดูจึงรู้ว่าคนทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่และท้าวกำพร้ายังมีภรรยาที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ข่าวความงามของนางมาสก็แพร่กระจายไปถึงพระกรรณของพระยาพรหมทัตว่า ท้าวกำพร้าบุษบาซึ่งอยู่กระท่อมกลางป่ามีภรรยาสวยราวกับเทพธิดา เพราะราคะตัณหาเข้าครอบงำพระยาพรหมทัตจึงอยากได้นางมาสมาเป็นพระเทวี จึงวางอุบายเพื่อจะฆ่าท้าวกำพร้าบุษบา โดยการให้ท้าวกำพร้าบุษบาไปเอาน้ำนมเสือโคร่ง น้ำนมราชสีห์ และน้ำนมช้างน้ำตามลำดับเพื่อเอามาเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งท้าวกำพร้าก็สามารถหามาได้ทุกครั้ง และได้ภรรยามาเพิ่มทุกครั้ง คือนางพยฆราชกัญญา นางสีหาราชกัญญา และนางคชุทกราชกัญญาตามลำดับ เมื่อกำจัดท้าวกำพร้าไม่สำเร็จ พระยาพรหมทัตจึงปรึกษากับเสนาอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเพื่อคิดหาอุบายใหม่ พวกเสนาอำมาตย์จึงกราบทูลให้พระยาพรหมทัตใช้ให้ท้าวกำพร้าไปเยี่ยมญาติที่ ตายไปสู่ปรโลกและให้เอาวัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานด้วย โดยให้มาถึงภายใน ๓ วัน ถ้าไม่ไปก็จะฆ่า ถ้าไปแล้วไม่ได้วัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานก็จะฆ่าเหมือนกัน ด้วยสติปัญญาของนางมาสช่วยคิดกลอุบายให้โดยนางให้ท้าวกำพร้าหาบเอาวัตถุเข้า ของที่เอามาจากงาช้างเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในป่าครบ ๓ วันแล้วจึงหาบออกมา ส่วนนางก็เอาขี้ผึ้งมาปั้นเป็นหุ่นท้าวกำพร้านอนไว้บนกระท่อมและเอาผ้าห่ม ไว้ เมื่อถึงวันที่ ๓ พวกเสนาอำมาตย์ก็มาติดตามข่าวคราวของท้าวกำพร้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเห็นท้าวกำพร้านอนนิ่งอยู่บนกระท่อมเห็นนางทั้ง ๔ เอาหุ่นขี้ผึ้งไปเผาบนกองฟืนแล้วท้าวกำพร้าก็หาบเข้าของออกมาจากป่าแล้วหลง เชื่อแล้วก็พาท้าวกำพร้านำเอาหาบเข้าของไปถวายแก่พระยาพรหมทัต พระยาพรหมทัตก็หลงเชื่อและอยากจะไปเยี่ยมญาติบ้างจึงถามทางไปกับท้าวกำพร้า ท้าวกำพร้าบุษบาจึงหลอกว่าต้องให้คนมัดมือมัดเท้าแล้วให้จุดไฟเผาก็จะไปถึง เพราะบาปกรรมอันหยาบช้าพระยาพรหมทัตถูกโมหะเข้าครอบงำจึงหลงเชื่อคำของท้าว กำพร้าโดยทำตามทุกอย่างและก็ถูกไฟเผาตายในที่สุดพร้อมกับพวกเสนาอำมาตย์ชั่ว ที่ให้คำปรึกษาในการทำชั่ว แล้วพวกเสนาอำมาตย์ที่ดีจึงเสี่ยงทายราชรถเพื่อหาพระราชาองค์ใหม่ แล้วราชรถก็ไปเกยที่กระท่อมท้าวกำพร้า ในที่สุดท้าวกำพร้าบุษบาก็ได้ครองเมืองพาราณสีแทนพระยาพรหมทัต ไพร่ฟ้าประชาชนก็อยู่อย่างสงบสุขร่มเย็น
              กล่าวถึงพระยาสุริยะวงสากษัตริย์เมืองตักสิลานครโกรธเคืองต่อ พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนที่มอบนางมาสไปให้เป็นค่าปลาร้าท้าวกำพร้า เพราะเมื่อครั้งที่ตนแต่งทูตและบรรณาการไปสู่ขอนางมาสไม่ยอมยกให้โดยให้ เหตุผลว่าจะให้อยู่ปกครองเมืองแทน พระยาสุริยะวงสาจึงยกทัพไปเมือง ราชคฤห์เพื่อจะฆ่าพระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วน พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนแต่งทัพออกไปสู้รบแต่ก็แพ้กลับมา จึงให้เชิญพระยาขีปปะเตชา เจ้าแห่งผีแมนตาทอก ซึ่งอยู่ยอดเขายุคันธรมาช่วยรบ แต่ฤทธิ์เดชของพระยาขีปปะเตชากับพระยาสุริยะวงสาเท่าเทียมกันไม่มีใครแพ้ไม่ มีใครชนะ พระยาขีปปะเตชาผีแมนตาทอกจึงบอกให้พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนส่งคนไปเชิญพระยา กำพร้ามาช่วยรบและพระยากำพร้าก็มาช่วยสู้รบและสามารถปราบพระยาสุริยะวงสาได้ โดยพระยาสุริยะวงสาได้ยอมแพ้และได้แต่งเครื่องบรรณาการมาขอขมาแล้วทั้ง ๒ พระองค์ก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน หลังจากบ้านเมืองสงบสุขแล้วพระยากำพร้าก็ลากลับเมือง ต่อมาพระยากำพร้าออกเทศนาสั่งสอนเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำทานรักษาศีล ๕ และเสด็จไปโปรดมนุษย์ตามเมืองต่างๆ ทั่วชมพูทวีป
              ต่อมาพระยากำพร้าได้บุตรธิดา ๔ คน ได้จัดให้อภิเษกสมรสกันระหว่างพี่น้องแล้วมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์โต ซึ่งเป็นลูกของนางมาส และให้พระโอรสองค์รองเป็นอุปราชแล้วพระยากำพร้าบำเพ็ญศีลทานภาวนาตลอดชีวิต แล้วจุติตายไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น