ยังมีนกกระจอกน้อยผัวเมียคู่หนึ่ง
ทำรังอยู่ในหนวดของพระฤาษีอย่างมีความสุข ตัวผู้ออกไปหาเหยื่อส่วนตัวเมียเฝ้าไข่อยู่ในรัง
ต่อมาตัวเมียฟักไข่ตัวผู้ก็ออกไปหาเหยื่อตามปกติ
วันหนึ่งตัวผู้ไปหาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง
พ่อนกมัวแต่หาเหยื่อในดอกบัวเพลินจนตะวันพลบค่ำ
ดอกบัวก็หุบเอานกกระจอกตัวผู้นั้นออกมาไม่ได้
ต้องรอจนรุ่งอรุณวันใหม่ดอกบัวบานออกจึงออกมาได้และรีบบินกลับรัง
ฝ่ายนกกระจอกตัวเมียคิดว่าผัวนอกใจไปมีเมียใหม่
จึงได้ทะเลาะถกเถียงกันและตัวผู้ก็สาบานแสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อเมียว่า
“หากคิดมีชู้จากเมีย ขอให้เป็นบาปเป็นกรรมอันร้ายแรงตัวเท่ากับพระฤาษี
ขอให้ตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจี” ฝ่ายพระฤาษีได้ยินนกกระจอกผัวเมียคู่นั้นถกเถียงสาบานกันดังนั้นก็โกรธมาก
จึงไล่นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นให้ไปอยู่ที่อื่น
นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นจึงย้ายไปอยู่ที่อื่น
โดยไปอาศัยอยู่ป่าเลาที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งไฟป่าเกิดลุกไหม้ และลามเข้ามาใกล้รังของนกกระจอกผัวเมีย
ทั้งคู่ได้สัญญากันว่าถ้าไฟไหม้มาถึงรัง จะไม่พากันหนีไปไหน
จะยอมตายด้วยกันกับลูก ถ้าใครผิดคำสัญญาไม่ว่าชาติไหนจะไม่ยอมพูดกับเพศตรงกันข้ามอีกต่อไป
ฝ่ายนกตัวผู้ก็ยอมรับคำตามคำสัญญานั้น ในที่สุดไฟป่าก็ลุกลามมาถึงรังของนกกระจาบ
นกตัวผู้พอเห็นเข้ามาจวนตัวก็คิดว่า ถ้าอยู่ไปก็ตายเปล่า
จึงผิดสัญญารีบบินหนีเอาตัวรอด แต่ก็ไปไม่รอดถูกไฟไหม้ตาย
ส่วนตัวเมียได้ยอมตายในกองเพลิงพร้อมกับลูกน้อย
ในชาติต่อมา
นกกระจาบตัวผู้เกิดเป็นโอรสของเจ้าเมืองแห่งหนึ่งนามว่า
ท้าววรจิต
ส่วนนกกระจาบตัวเมียได้เกิดเป็นธิดาของเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งทั้งคู่มีรูป
โฉมที่สวยสดงดงามดั่งเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
นับตั้งแต่นางเกิดมานางไม่ยอมพูดกับชายใดเลยแม้แต่พระบิดาของนางเอง
พระบิดาของนางมีความทุกข์เป็นหนักหนา
จึงได้ประกาศไปว่า
ถ้าใครสามารถทำให้นางพูดกับผู้ชายได้
หรือว่านางพูดกับชายใด
ก็จะยกเมืองให้ปกครอง
แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้
ท้าววรจิตได้ยินข่าวนั้นจึงได้ไปเรียนวิชาถอดจิตกับพระฤาษี
แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวนแล้วจึงให้ย่าจำสวนพาไปอาสาพูดกับนางจัน
ทะจร
โดยถอดจิตไว้กับหมอนแล้วพูดกับหมอนในเรื่องราวต่างๆ
ในที่สุดพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ผู้ชายตลอด
และท้าววรจิตจำเรื่องราวอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นนกกระจอกได้
จึงได้นำเรื่องนกกระจอกในอดีตชาติของตนมาเล่าให้หมอนฟัง
แต่ตอนจบเรื่องแกล้งเล่าให้ผิดว่า
ตัวเมียบินหนีไฟป่าไปก่อน
ปล่อยให้ตัวเองกับลูกน้อยถูกไฟไหม้ตายพร้อมกัน
คำพูดดังกล่าวแทงใจดำของนางจันทะจรซึ่งระลึกชาติได้
ทำให้นางโกรธมาก
จึงพูดโต้แย้งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า
เรื่องที่ท้าววรจิตพูดนั้นมันไม่เป็นความจริง
เมื่อพูดเพียงเท่านั้น
เหล่าเสนาอำมาตย์ที่เอาฆ้องกลองมาแอบดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็ตีฆ้องกลองกัน
เสียงดังสนั่นก้องเป็นสัญญาณว่านางจันทะจรได้พูดกับผู้ชายแล้ว
พระบิดาของนางจันทะจรจึงอภิเษกสมรสให้ท้าววรจิตกับนางจันทะจรพร้อมทั้งยกราช
สมบัติให้ท้าววรจิตปกครองต่อไปและทั้งคู่ก็ครองรักปกครองไพร่ฟ้าประชาชนอยู่
อย่างสงบสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น