อาตมาภาพจะขออนุโมทนาด้วยท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรมาชุมนุมกันอยู่ในสถานที่นี้
ท่านทั้งหลาย จงตั้ง(โสตาผาสาส โสตประสาท) (เป็นภาชนะ)ทองมารองรับเอารัสสะพระธรรมเทศนาเทิด
ก็จักเกิดมาเป็นบุญแล้วก็จะได้ สำเร็จ ดังมโนรสความปรารถนา
ท่านทั้งหลายได้ฟังแล้วก็ให้ตั้งใจฟังจิงจะเป็นบุญ
ไม่เสียทีที่จะฟัง หู ๑ ไปฟังวนด้วยเขาพูดกัน
ถ้าใผ ว่าคนที่ฟังธรรม หู ๑ ว่าบุญก็ยังมิได้ก่อนนี้แล้ว
ท่านทั้งหลายจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด พระบาลีกล่าวว่า
ถ้าบุคคลผู้ใดมาฟัง พระธรรมเทศนาประกอบไปด้วยความนั้นอย่าสงใสเลยว่าจะได้ไปตกนรก
คงจะหนาไปเป็นแน่ เอกะทา กิระ สัมมะเย
สัตถาสาวัตถิยัง อุปะนิสายะ ปิตาระมาตุยา สัตตะวิณันติ
สันติจานัง ปะรินะเตนะกา ปุระริยารามเม อะโหสิ
เอกะทา กิระ สัมมะเย
ในกาละครั้งนั้น
สัตถาอันว่าองค์สมเด็จพระ
ศาสดาตนสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เทศนาโปรดเวเนยยสัตว์คนท่านทั้งหลายทั้งปวงให้ตั้งอยู่ในมรรค
๔ ผล ๔ สาตะถานะปัตโต สาโรราชา
ในกาละครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารพระองค์เสด็จแวดล้อมไปด้วยพระหลวงขุน
หมื่นทั้งหลาย
เป็นยศศักดิ์บริวารก็เสด็จออกมาสู่พระมหาวิหารปรารถนารจะฟังพระสัทธรรมเทศนา
แห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ฟังแล้วสมเด็จ
พระยาพิมพิสารก็คลานเข้าไปสู่ที่เฝ้าแห่งสมเด็จพระพุทธิเจ้าแล้วนมัสการทูล
ถามว่า
ภันเต ภะคะวา ข้าแต่
พระพุทธิเจ้า
อันว่า บุคคล ๓ จำพวกนั้นมีศรัทธาต่างๆ
กันจากพวกรักษาศีล
๕ ศีล ๘
แต่ว่าไม่ฟังธรรมเทศนาแลทำบุญให้ทาน รักษาแต่ศีลอย่างเดียว
จำพวกทำบุญให้ทานแต่ว่าไม่รักษาศีล พวก ๑
ตั้งใจฟังพระสัทธรรมเทศนาไม่ขาดแต่ว่าไม่ทำบุญให้ทานนี้แล
พระพุทธิ เจ้าข้า อันว่าบุคคล ๓
จำพวกนี้ถ้าตายจากมนุสสาโลกนี้แล้วพวกไหนจะไปสวรรค์ก่อนนี้แล
พระพุทะธเจ้าข้า เค้าขม่อมสัน(เกล้ากระหม่อมฉัน)
สงสัยนักหนา ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เค้าขหม่อมสันฟังให้แจ้งใน
กาละบัดนี้เทิด อัตถา ภะคะวา รัญจะวัจจะนัง
สุตะวา ลำดับแต่นั้น สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ซง(ทรง)ฟังพระยาพิมพิสารอาราธนา
ดังนั้นพระองค์จึงเผยพระอดสาออกตรัสพระสัทธรรมเทศนาดูก่อนบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร)
อันว่าบุคคล ๓ จำพวก นี้ถ้าตายวันใดที่จะไปสวรรค์อย่างความปรารถนานั้นก็ยังไม่ได้ไปดอก
อันว่าจำพวกรักษาศีลนั้น ถ้าดับปัจจะขัน(ปัญจขันธ์หรือเบญจขันธ์)ใจขาด
แล้วหูตาสว่างแจ้งเหลียวเห็นเมืองสวรรค์อยู่ แต่ว่าหาแฮงที่จะไปมิได้
อันว่าจำพวกที่ทำบุญให้ทานนั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาดแล้ว
กำลังก็มากก็จะข้ามสงสารได้ กับว่าตาทั้ง ๒ หากบอดเสียมิได้แจ้งเลย
อันว่าจำพวกที่ฟังธรรมเทศนานั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาด
แล้วมีกำลังก็มาก ตาทั้ง ๒ ก็สว่างแจ้ง กับว่าหาปัญญามิได้
ไม่ปกติเลย แต่หลงๆ ลืมๆ มิอาจจะขว้ามสงสารได้นี้แล
บผิด(บพิตร)พระราชสมภารสันนิษฐานเข้าใจเทิด ถ้าว่าบุคคลผู้ปรารถนาจะไปเกิดในเมืองสวรรค์
ก็ให้ตัดฮอนเสียซึ่งความถีนะแล้วอดสากระทำบุญให้ทานเจริญเมตตาภาวนารักษาศีล
๕ ศีล ๘ แล้วอดสาหาฟังธรรมเทศนาไว้ในปีเดือนอย่าให้ขาด
โย ปุคคละโล
อันว่าบุคคลผู้ใดกระทำบุญดังวิสัชนามาสันนี้ไม่ลำบากปรารถนาเลย
ถ้าตายลงวันใดตัวบุญที่ทำไว้นั้นแลมาเป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่พากันไป
เกิดในเมืองสวรรค์ไม่มีความสงไสเลยนี้แล
บพิตรพระราชสมภาร
อันว่ากิริยากระทำบุญให้ทานในพระศาสนาของเรานี้
ไม่ต้องปรารถนาก็คงจะได้เป็นแน่ด้วยกรรมว่า
พระยามัจจุราชตามเล็งดูอยู่ทุกวันทุก
คืนมิได้ขาด
ถ้าบุคคลผู้ใดกระทำบาปมากหรือทำบุญมาก
พระยามัจจุราชท่านก็ฮู้จงหมดจงสิ้นนี้แลบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร)
อย่าต้องสงไสเลย
อันว่ามนุษย์เกิดมาในโลกทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี
ท้าวพระยามหากษัตริย์ก็ดี
อันว่าพระยามัจจุราชไว้หน้าไว้ตานั้นก็หามิได้
เถิงจะเอาเงินทองสักฮ้อยเท่าพันทีมาไถ่เอาชีวิตไว้ก่อนก็ไม่ได้
ก็ต้องกระทำกาลกิริยาตายสิ่งเดียวกันไปหมดนี้แล
พระยาพิมพิสารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด
เถิงว่าบุคคลผู้ใดจะมีริทธาศักดานุภาพมากสักเท่าใดๆ
ว่าจะหลบลี้หนีไปให้พ้นพระยามัจจุราช
อย่าพึงนึกเลย
ต้องได้ทิ้งลูกฮักแลเมียฮักไว้แล้วกระทำกิริยาตายไปแต่ตนผู้เดียว
อันว่าลูกฮักแลเมียฮักเข้าของเงินทองที่ฮักๆ ที่แพงๆ
นั้นจะได้ติดตัวไปเป็นเพื่อนเมื่อเวลาพระยามัจจุราชมาเอาไปนั้นก็หาก(ก็หามิ
ได้)
เว้นไว้แต่ศีลแลทานการกุศลนี้
แลจะมาอุปถัมภ์ค้ำชูพาตนไปเกิดในสวรรค์
ถ้าบุคคลผู้ใดหาบุญหากุศลมิได้แล้วเมื่อจะกระทำกาลกิริยาตายก็ทนขา(ทุกข์ขา)เวทนา
ยิ่งหนักหนา
ด้วยว่าบุญบาปมันมางอบงำไว้
อันว่าคนเราจำกาลกิริยาตายนี้อุปมาดังนอนหลับ
ถ้าผู้ใดได้กระทำกุศลไว้มาก
ตัวกุศลนั้นว่ามาพาตนเป็นยศศักดิ์บริวารพาตนไปเกิดในเมืองสวรรค์ด้วยหนทาง
อันกง
ถ้าบุคคลผู้ใดได้กระทำบาปกรรมไว้แล้ว
ถ้าตายลงวันไหนพวกบาปกรรมมันมาเป็นยศศักดิ์บริวารเอาบุคคลผู้นั้นไปเกิดใน
เมืองนรกเสวยทุกขาเวทนาอยู่ในเมืองนรกนั้นมีอายุยืนยาวได้ชั่วพระอาทิตย์พระ
จันทร์ก็มีอายุตามลำดับเขากระทำไว้นี้แล
พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารเราเทศนาให้ท่านฟัง
อันว่าบุคคลเกิดมาในมนุสสาโลกทุกวันนี้
คนบาปมากว่าบุญเพราะสันนี้
คนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อย
หนักน้อยหนาประดุจดังตาโค
ลงไปเกิดในอยู่ในเมืองนรกมากมายยิ่งหนักหนา ประดุจดังขนโค
เหตุซะนี้แลจิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ
อันว่ามนุษย์ทั้งหลายทุกวันนี้
ถึงจะกระทำบุญให้ทานฟังพระธรรมเทศนาก็น้อยหนักน้อยหนาที่จะให้ชมชื่นเหมือน
อย่างไปทำปาณาติบาตนั้นก็หามิได้
อันว่ากิริยาไปทำปาณาติบาตนั้นเถิงว่าจะไกลสักเท่าใดๆ
แต่รู้ข่าวว่าบ้านนั้นเขาได้เนื้อได้ปลามากมาย
แต่จะพูดกันท่อนั้นก็กลัวเพื่อนบ้านเขาจะได้ยินมาก
แต่ก็ตื่นดึกลุกเช้าก็พากันไปดู
จะหาคนเฝ้าเฮือน
๑ คนก็หามิได้นี้แล
จิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ
ถ้าไปกระทำบุญให้ทานเหมือนอย่างไปทำปาณาติบาตนี้ก็จะว่าคนบุญมากกั่วคนบาป
เหตุซะนี้แลจิงว่าคนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อยหนักน้อยหนา
คนที่ลงไปอยู่ในนรกนั้นมากมายจะคันนะนา(คณนา)มิได้เลยนี้แล
พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารท่านจิงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท) เป็นภาชนะทองฮองฮับเอารัสสาพระธรรมเทศนาเทิด
ตัตถานปัตโต สาโลราชา สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารก็นมัสการทูลถามต่อไปว่า
ภันเต ภะคะวา
ข้าแด่พระพุทธเจ้าข้า
อันว่าคนเกิดมาทุกวันนี้เหตุซะไหนจิงไม่คือกัน
ลางคนก็ฮูปงาม ลางคนก็ฮูปขี้เหร่
ลางคนก็ปัญญาดี
ลางคนก็หาปัญญามิได้ ลางคนก็อายุยืนยาว
ลางคนก็อายุสั้น
ลางคนมั่งมีเข้าของเงินทอง
ลางคนก็หาเข้าของเงินทองมิได้
ลางคนลางคนก็เสียงไพเพราะ
ลางคนก็เสียงไม่ดี คน
๑๐ จำพวกนี้แล
เหตุไหนจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า
เขาก็คนแท้ๆ
ทำไมจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า
เกล้าขม่อมสันสงไสยิ่งหนักหนา
ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้า
ข้า
อัถถา ภะคะวารโย วัจจะนัง สุตะวา
สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น
พระพุทธ เจ้าจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อน(มหา)บพิตรพระราชสมภาร
อันว่าบุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล ชาติก่อนเขาได้กระทำกุศลต่างๆ
กัน อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปอันงาม แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแต่ของดีๆ
บริสุทธิ์ เกิดมาในชาตินี้จิงมีฮูปอันงามเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจแก่คนทั้งหลาย
อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปขี้เหร่นั้น แต่ชาติก่อนมิได้กระทำบุญให้ทาน
ด้วยเขา(ทำบุญให้ทาน)แต่ละทีก็เอาแต่ของเน่าของบูดบ่งาม
ตัวกินแล้วจิงเอามาทำบุญให้ทาน เหตุซะนี้แลเกิดมาชาตินี้จิงไม่มีฮูปอันงาม
อันว่าบุคคลเกิดมามีปัญญาสลาด แต่ชาติก่อนเขาได้เล่าเฮียนพยัญชนะแลได้เขียนไว้ในพระศาสนา
เกิดมาชาตินี้เขาจิงสลาดปัญญาดี อันว่าคนเกิดมาหาปัญญามิได้นั้น
แต่ชาติก่อนเขามิได้บวชได้เฮียนแลไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม
ไม่ฮู้จักศีล ๕ ศีล ๘ เกิดมาชาตินี้จิงหาปัญญามิได้
จะนับ ๑๐ ก็ไม่ถ้วนไม่ถึง อันว่าคนเกิดมามีอายุยืนยาวนั้น
แต่ชาติก่อนเขาได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ไว้ในพระศาสนา
เกิดมาชาตินี้ อายุเขาจิงยืนยาว อันว่าคนเกิดมามีอายุสั้นพลันตายนั้น
แต่ชาติก่อนมันได้ไปลักเอาทรัพย์เขามากระทำบุญให้ทาน
เกิดชาตินี้จิงมีอายุสั้นเกิดแล้วตายหาประหมานมิได้เลย
อันว่าคนเกิดมามีเข้าของเงินทองแต่หนุ่มๆ ถึงเถ้านั้น
แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแล้วท่านก็เอาทรัพย์ไปฝังไว้ในพระศาสนา
ไม่เป็นคนขี้ตระหนี่เหนียวแหน้น เกิดมาชาตินี้เขาจิงมีทรัพย์สินเงินทองมากกั่วคนทั้งหลาย
อันว่าคนเกิดมาหาเงินทองมิได้นั้น แต่ชาติก่อนเขาเป็นคนขี้ถะหนี่เข้าของเงินทอง
เห็นหมู่บ้านเขากระทำบุญให้ทานแลฟังธรรมเทศนา
มันก็เกิดเสยเลยบ่เหลียวดู มันก็เฮ็ดดังหูบ่ฮู้ตาบ่เห็น
ถ้ามันจะมาทำบุญให้ทานข้าวน้ำแต่ละที มันเสียดายเงินของมัน
เพราะซะนั้น เกิดมาชาตินี้มันจิงเป็นคนทุกข์ไฮ้เข็ญใจหาเข้าของเงินทองจะกิน
หาผ้าจะนุ่งหาเกลือจะกับก็หามิได้ อันว่าคนที่เกิดมามีเสียงเพราะเสาะใสนั้น
แต่ชาติก่อนเขาได้ให้ฆ้องระฆังแซ่ง(ฉาบ)เป็นทาน
เกิดมาชาตินี้จิงมีเสียงไพเราะ เพราะ
เสาะใส
อันว่าคนที่เกิดมาเสียงไม่ดีนั้น
แต่ชาติก่อนมิได้สร้างฆ้องระฆังไว้ในพระศาสนาเกิดมาชาตินี้เสียงจิงไม่ดีนี้
แล
พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด
ตัตถาคะปัตโต สาโรราชา
สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงกราบทูลถามต่อไปว่า
อันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกเป็นคนกืกนั้นเหตุสันไหนพระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด
สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตักว่า
อ้อ
ดูก่อนอันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกนั้นฤาบพิตรพระราชสมภาร
แต่ชาติก่อนมันเป็นบ่าวเป็นสาวอยู่
พระภิกษุเดินทางมาขอบิณฑบาตน้ำกินแลน้ำอาบ
มันก็ถือว่ามันอายมันพูดไม่เป็นปากไม่เป็น
มันก็เลยหาบน้ำเดินหนีเสีย
เหตุซะนั้นแลจิงมาบังเกิดเป็นคนกืกอยู่
๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรมนั้นแล
พระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า
อันว่าคนเกิดมาหูหนักตาบอ มาแต่เล็กๆ
น้อยๆ นั้นเหตุสันไหน
ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด
สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า
อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร
อันว่าคนที่เกิดมาหูหนักตาบอดนั้น
แต่ชาติก่อนมันมาฟังธรรมเทศนา
มันมาเถิงโฮงธรรมมาพักศาลาแล้วมันก็ซักซวนเขาพูดต่างๆ
เหมือนอย่างบ่มาฟังธรรม
คนที่เขาตั้ง(ใจ)ฟังนั้นก็พลอยเสียสติไปด้วย
คำที่เขาพูดกันนั้นแล
คนที่เขาพูดกันจิงมาบังเกิดเป็นคนหูหนักตาบอดอยู่
๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม
สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า
พระพุทธิเจ้าข้า
อันว่าคนที่เกิดมาเป็นขี้กากขี้เจี้ยน(เกลื้อน)ขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้น
เป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า
ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิด
สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า
อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร
อันว่าคนเกิดมาที่เป็นขี้กากขี้เฮี้ยนขี้เจี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นฤา
แต่ชาติก่อนมันไปเทียวล่อลวง
เอาทรัพย์เขามาเป็นของตัวแล้วมันจิงได้มาบังเกิดเป็นคนไม่สมประกอบแลเป็นขี้
กากขี้เจี้ยนขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นแต่จะได้เกิดใช้ชาติอยู่เถิง
๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม
สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า
ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระพุทธเจ้าข้า
อันว่าคนเกิดมาเป็นข้อยข้าแต่หนุ่มจนเถ้าแก่จนตายนั้นเป็นเหตุซะไหนพระพุทธิ
เจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธิเจ้า
ข้า
สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารจิงตรัสว่า
อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร
อันว่าคนเกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนั้นฤา
แต่ชาติก่อนมันได้ไปยืมเอาเงินเขามา
ไม่หาใช้ไปแทนเขาแล้วมันก็กระทำกาลกิริยาตายเงินเขาสูญแล้ว
เหตุซะนั้นแลมันจิงได้เกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนี้แล
พระยาพิมพิสารท่านจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด
อันว่าบุคคลผู้ใดได้
เป็นหนี้เขาตั้งแต่อัด ๑
ขึ้นไปมิได้หาใช้แทนเขา
ถ้าตายจากมนุสสาโลกแล้วก็จะทง(ทรง)ทุกขาเวทนาอยู่ในนรกนั้นประหมานมิได้
เลย ถ้าพ้นจากนรกแล้วก็จะได้มาเกิดเป็นบ่าวเขาอีก
๕ ฮ้อยชาติ
อันว่าคนเฮาทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี
ที่เกิดมาเป็นบ่าวเขานั้น
ชาติก่อนมันเป็นลูกหนี้เขาทั้งนั้น
เกิดมาชาตินี้จิงมาเป็นบ่าวเขานี้แล
พระยาพิมพิสารจิงสันนิษฐานเข้าใจเทิด
สมเด็จพระยาพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า
พระพุทธเจ้าข้า
อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียสตินั้นเป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า
ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้าข้า
ตัง สุตะวา
สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า
อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร
อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียจิตนั้นลือ
แต่ชาติก่อนมันเป็นเจ้าเสน่ดีทำให้ชายหญิงเป็นบ้าแก้ผ้าเสื้อลืมเนื้อลืม
กายหลงฮ้องไห้นำ
เหตุซะนั้นแลเกิดมาชาตินี้จิงได้เป็นบ้านี้แล
ท่านทั้งหลายที่นั่งสัมโมสรชุมนุมในสถานที่นี้ฟังสันนี้เข้าใจเทิด
นะปะโตสาโรราชา
สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงนมัสการทูลถามว่า
ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
อันว่าบุคคลทั้งหลายหญิงก็ดี
ชายก็ดีมีใจใสศรัทธาทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาจะมีผลาอานิสงส์เป็นประการใด
ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิดพระ
พุทธิเจ้าข้า ตัง
สุตะวา
สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น
จิงตรัสธรรมเทศนาว่า
ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร ท่านจงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท)
เป็นภาชนะทองมาฮับเอารัสสะธรรมเทศนาเทิด
อัตตะมาจะสำแดงให้ได้ฟัง
อันว่าบุคคลผู้ใดได้มาฟังพระสัทธรรมเทศนาได้บุญ
๑๒ พัน ได้เฮียกกันเทิดได้บุญ ๑๕ พัน
ได้สร้างหนังสือไว้ในพระศาสนาได้บุญ
๒ หมื่นพัน สร้างพระพุทธรูปได้บุญ ๑๘
พัน ได้ถวายผ้าพิดานได้บุญ
๑๐ พัน สร้าง (ล.๘ น.๒) วิหารได้บุญพัน
๑ สร้างวัดได้บุญ ๓ พัน
ปลูกต้นโพธิ์ได้บุญ ๔
พัน สร้างกุตติ(กุฏิ)ได้
บุญ
๑๑ พัน สร้างโหวด(โบสถ์)ได้บุญ ๑๕ พัน
สร้างถานได้
๘๐ พัน สร้างศาลา ได้ ๓ หมื่นพัน
สร้างตะพาน(สะพาน)ได้บุญหมื่นพัน
สร้างเสาทองได้บุญ ๔ พัน
สร้างทางเดินได้บุญ ๑๐
พัน สร้างตู้ใส่หนังสือได้บุญ ๑๗ พัน
สร้างหอไตรได้บุญ
๓๒ พัน สร้างฆ้องได้บุญ ๑๓ พัน
สร้างระฆังได้บุญ
๑๒ พัน สร้างกลองได้บุญ ๙ พัน
ให้ผ้าพิดานได้บุญ
๒ พัน ถวายจีวรได้บุญ ๒๐ พัน
ทอดกฐินได้บุญ ๔๐๐
พัน ทอดบังสุกุลได้บุญ ๘๐ พัน
ทอดผ้าป่าได้บุญ
๒ หมื่นพัน สวดมนตร์ได้บุญ ๑๐ พัน
ภาวนาพระไตรลักขณญานได้บุญ
๙ พัน ภาวนาตุรญานได้บุญ ๑๑ พัน
รักษาศีลได้บุญ
๑๒ พัน ภาวนาจาตุพรหมวิหารได้บุญ ๑๓ พัน
ภาวนานะโมพุทธายะได้บุญ
๑๕ พัน ภาวนาพระธรรมบท ๑ ได้บุญ ๑๗ พัน
ภาวนาทุกขัง
ได้บุญ ๑๘ พัน ภาวนาอนัตตาได้บุญ ๑๓ พัน
ภาวนามะ(อะ)อุ
อุอะมะ ได้บุญ ๑๘ พัน
สวดมนตร์ฮ้อยทีบ่ท่อจำศีลวัน
๑ จำศีลฮ้อยที บ่ท่อภาวนาพรหมวิหารวัน ๑
บวชลูกเป็นเณรได้บุญ
๔ พัน บวชลูกเป็นพระได้ บุญ ๑๖ พัน
บวชตัวเองได้บุญได้
๔๔ พัน บวชน้องได้บุญ ๑๓
กับ(กัปป์)บวชพี่ชายได้บุญ
๑๔ กัปป์ บวชหลานได้บุญ ๘ กัปป์
บวชโปรดคนอนาถาหาที่เพิ่งบ่ได้ได้บุญ
๓ กัปป์ ผัวบวชเมียได้บุญ๑๒ กัปป์
เมียบวชผัวได้บุญ
๔๐๐ กัปป์ ใส่บาตรให้พระได้บุญ ๑๖ กัปป์
ให้หมากพลูเป็นทานได้บุญ
๒ กัปป์ ให้ข้าวเป็นทานได้บุญ ๒ กัปป์
ให้ข้าวเป็นทานกับเด็กน้อยเลี้ยงควายได้บุญ
๖ พัน
ให้ข้าวเป็นทานกับคนเดินทางมาขอได้บุญ ๘
พัน ให้น้ำเป็นทานได้บุญ ๑๒ พัน
บอกชาวบ้านใส่บาตรได้บุญ
๑๖ พัน
เทียวป่าวฮ้องคนมาทำบุญให้ทานได้บุญหมื่น
๑ ยกมืออนุโมทนาได้อานิสงส์พัน ๑ นี้แล
บพิตรพระราชสมภาร
อันว่าบุคคลทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาทุกวันนี้ก็มีอานิสงส์อย่างนี้แล
ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากประสบกับพระศรีอารย์
ก็ให้อัชชะหา(อุตสาหะ)ทำบุญให้ทานเหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทิดจิง
จะได้ประสบกับพระศรีอารย์ในภายภาคครั้งหน้า
ถ้าแม่นบุคคลผู้ใดทำบุญได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้ไม่ต้องปรารถนา
ก็คงจะได้เห็นพระศาสนาของพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล
ท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรประชุมกันในสถานที่นี้
ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากเห็นหน้าพระศรีอารย์แล้วก็ให้อดสาตั้งใจฟังธรรม
ให้ทานรักษาศีลจำเริญเมตตาภาวนาเถิงจะได้เห็นหน้าพระศรีอารย์ที่ท่านจะมา
ตัด(ตรัสรู้)ในภายภาคหน้านี้แล
พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารจงสันนิฐานเข้าใจเทิด
เฮาจะเทศนาให้ฟัง
อันว่าบุคคลใดอดสาทำบุญให้ทานฟังพระสัทธรรมเทศนารักษาศีลสวดมนตร์ภาวนาดัง
วิสัชนามาซะนี้ก็คงได้ประสบพบพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล
พระยาพิมพิสารถ้าบุคคลผู้ใดอยากพบพระศรีอารย์แล้วก็ให้ตั้งใจทำบุญให้ทานเห
มือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทินก็สิ้นศาสนาของเฮาแล้วพระศรีอารย์จะลงมา
ตัด(ตรัสรู้)เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปนี้แลบพิตรพระราชสมภารจงตั้งโสตาผาสาด(โสต
ประสาท)เป็นภาชนะทองมาฮองฮับเอารัสสาธรรมเทศนาเทิน
อัตตะมาจาสำแดงให้ฟังในใจความว่า ครั้ง ๑
ยังมีพระมาลัยองค์
๑ เกิดที่ก้ำในแขงเมืองลังการนั้น
ใจความว่าท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ที่สุดท้ายกั่วพระอรหันต์ทั้ง
๒
แต่มีฤทธิ์เดชเหมือนกันกับพระโมคคัลลาที่หอเหิรเดินอากาศแลดำดินแซกพระสุธา
ได้หมดทุกอย่าง
ท่านเลยไปโปรดสัตว์ในนรกแลสัตว์ในสวรรค์อย่างเดียวกันกับพระโมคคัลลาเมื่อ
วัน
๑
ก็หอขึ้นไปชั้นฟ้าตาวติง(ดาวดึงส์) ตั้งไปไหว้พระเจดีย์มุลละนี(จุฬามณี)ก็
ถึงชั้นตาวติงก็เป็นวันพระก็เหลียวเห็นฝูงเทวดาทั้งหลายมาประชุมฟังธรรม
เทศนาพระศรีอารย์
พระมาลัยจิงเข้าไปถามว่าท่านนะฤาชื่อว่าพระศรีอารย์
ๆ จิงบอกว่า
อาตมานี้แลชื่อว่าพระศรีอารย์
พระมาลัยจิงถามต่อไปว่าศีลทานการกุศลของท่านนี้ดีอย่างไล(ไร)ธรรมเทศนาของ
ท่านดีอย่างไร
พระศรีอารย์จิง บอกว่า
ถ้าบุคคลผู้ใดได้รักษาศีลฟังธรรมเทศนาแล้ว
เฮาก็เปิดประตูนรกให้เห็นสว่างแจ้งแก่ตาโลก พระมาลัยจิงถามว่า
พระศรีอารย์ยังนานเท่าใดจิงจะลงไปโปรดสัตว์ในมนุสสโลก
พระศรีอารย์จิง
ตอบว่าพอสิ้นพระศาสนาของพระพุทธิเจ้าองค์นี้แล้วเฮาจะลงไปตัด(ตรัสรู้)เป็น
พระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อเวลาเฮาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วในเมืองมนุสสโลกที่จะมี
คนทุกข์ไฮ้เข็ญใจยาจกคนขอกระจอกงอกง่อยหูหนวกตาบอดไม่มีเลย
เป็นคนผู้ดีสีสุกมั่งมีทั่วหน้ากันทั้งนั้นแล
จะมีต้นไม้กามมะพึกเกิดขึ้น ๔
ต้นทุกมุมเมืองสำฮอย
๑ ปรารถนาสิ่งใดๆ
ก็ไปนึกเอาที่ต้นไม้กามมะพึกนั้น
ถ้าดอกผลมันตกมาก็กลับกลายเป็นเข้าของแก้วแหวนเงินทองได้ดังความปรารถนาทุก
ประการ
เฮาจะเทศนาโปรดสั่งสอนธรรมอันพิเศษและเปิดประตูนรกเสียก็เปิดประตู
สวรรค์ และนิรพานให้คนทั้งหลายเข้าบรมสุขามหากษัตริย์นี้และพระมาลัยท่านจง
ลงไปในเมืองมนุสสาโลกแล้วให้ท่านไปสั่งสอนเขาด้วยเทิด
ถ้าบุคคลผู้ใดอยากได้ประสบพบเฮาแล้ว
ท่านก็ไปบอกให้เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอดสาฟังธรรมเทศนาในปี
ในเดือนอย่าให้ขาดเทิด
ถ้าบุคคลผู้ใดทำได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้แล้วจิงจะได้เห็นศาสนา
ของเฮาในภายภาคครั้งหน้าตั้งแต่นี้ต่อไปไม่นานเท่าใดยังอยู่
๒๕๔๙
พรรษาจิงจะสิ้นพระศาสนาของพระสัมมณโคดมองค์นี้
พระสัทธรรมเทศนาสำแดงมาก็เป็นสาวันนะกานที่บ่ดี
สำมุดยุตติกาไว้แต่เพียงนี้
เอวังก็มีด้วยประการัจสะนี้ฯฯฯ
ลิจจนาแล้วยามแลงแลเจ้าเฮย ตัวใดตกให้ยอ
ตัวใดบ่พอให้หาใส่แดเนอ
เออได้เขียนหนังสือพระยาพิมพิสารไว้กับศาสนาพระพุทธเจ้า
ตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานขออย่าให้มีมารมาประโจนแพ้ได้ด้วยเตชะพระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้านี้ก็ข้า สาธุ ๆ
อนุโมทามิ
อันหนึ่งนั้นขอให้ผู้ข้านี้ม้มจากทุกข์จากภัยจากโรคาพยาธิทั้งชาตินี้แลชาติ
หน้าตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานก็ข้าเทิน
แล้วท่อนี้ก่อนแลเจ้าเฮย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น