ให้เสือป่าแมวเซานั้นเล็ดลอด | เที่ยวเสาะสอดไประวังฟังนุสนธิ์ | ||
ถ้าพบลาวมาแสดงแจ้งยุบล | เกณฑ์คนไว้จะจับมาแจ้งความ | ||
แล้วตรัสสั่งทัพหน้าพม่ามอญ | กองโคราชรีบจรไปทั้งสาม | ||
พอแลลับทัพหลวงก็ล่วงตาม | อันฤกษ์ยามเทพช่วยอำนวยพร | ||
พลรบบันเทิงสำเริงรื่น | ดูชุ่มชื่นมิได้ท้อระย่อหย่อน | ||
ล้วนอาวุธกุมจับอยู่กับกร | จะคอยรอนรับราชไพรี | ||
บ้างกรายหอกแกว่งดาบแล้วรำง้าว | ทั้งปืนน้าวหน่วงนกไม่นึกหนี | ||
ขยับท่วงทีท่าจะราวี | กำเริบเริงฤทธีทุกตัวคน | ||
คเชนทร์รนร้องม้าคะนองเผ่น | ปะเตะเต้นกลอกกลับอยู่สับสน | ||
พื้นอากาศผาดผ่องในอัมพล | โพยมบนหมดเมฆไม่ราคี | ||
ธงทิวปลิวไสวใบสะบัด | วายุพัดสวนส่งตรงวิถี | ||
สดับเสียงเบื้องบนเหมือนดนตรี | ประโคมขับอึงมี่แล้วตามมา | ||
ทัพเดียวเด่นโดดไปกลางชัฎ | ละเลาะลัดลับไม้ที่ใบหนา | ||
ดาดาษกลาดกลางอรัญวา | พงกโยธาโห่ร้องอยู่ก้องไพร | ||
ก็ล่วงลุภูเวียงวงสิงขร | พี่อาวรณ์พิศวงให้หลงใหล | ||
ดูละหานธารถ้ำอันอำไพ | ที่วงในบ้านเคียงอยู่เรียงราย | ||
มีทางเดินแห่งเดียวที่ผาขาด | ดุจเขาคันธมาทน์อันเฉิดฉาย | ||
ข้างรอบนอกพื้นผาศิลาราย | เป็นที่หมายของอนุสำนักพล | ||
ตั้งพลับพลาไว้ที่หน้าเนินสิงขร | สำนักนอนเมื่อดำเนินออกเดินหน | ||
แล้วพานวลนางอนงค์ลงสรงชล | เก็บอุบลบุษบาในวารี | ||
แล้วแล่นไล่โคถึกมฤคมาศ | เที่ยวประพาสนกไม้ในไพรศรี | ||
สำราญใจไพร่พลมนตรี | แล้วจรลีแรมร้อนเที่ยวนอนไพร | ||
พอทัพถึงสิงขรเป็นที่ขัน | ก็ตั้งมั่นมุ่งหาที่อาศัย | ||
โปรดให้กองพระเสนานั้นคลาไคล | ขยับไปตั้งรับอยู่ลำพอง | ||
พอกองโจรสามร้อยมาคอยทัพ | ครั้นได้ทีก็ขยับผันผยอง | ||
เข้านั่งอิงพิงผานัยน์ตามอง | พอได้ช่องยิงปืนระดมดัง | ||
แล้วโห่ร้องก้องกึกโกญจนาท | ออกชักปีกพันพาดตลบหลัง | ||
ไทยมอญพม่าละล้าละลัง | ไม่คิดหวังว่าศึกจะโจมตี | ||
บ้างก็ถูกปืนล้มลงกลาดกลิ้ง | บ้างก็วิ่งซมซานทะยานหนี | ||
บ้างไม่ย่อท้อเข้าต่อตี | คลุกคลีไทยลาวตะลุมบอน | ||
พระเสนาเสียกระบวนก็ซวนหนี | เข้าชิงที่ชัยภูมิเอาสิงขร | ||
ครั้นตั้งได้ไล่ทหารเข้าราญรอน | พม่ามอญตีลัดขึ้นตัดทาง | ||
พวกทัพลาวเหลือทนจะถอยหนี | เห็นโยธีเข้าตัดก็ขัดขวาง | ||
แต่ศึกกลุ้มหุ้มไว้อยู่ในกลาง | กระหนาบข้างเข่นฆ่าเข้าราวี | ||
ลงล้มกลาดดาษดิ้นสิ้นชีวิต | ทุกคนคิดแยกย้ายกระจายหนี | ||
เที่ยวซุกซนด้นป่าพนาลี | จะเอาแต่ชีวีให้คงคืน | ||
ขุนณรงค์องอาจเอกทหาร | ก็ขับอาชาชาญเข้าฝ่าฝืน | ||
ไล่ถาโถมโจมจับไม่กลับคืน | จนดึกดื่นลุถึงกึ่งราตรี | ||
เสด็จยกพลตามพวกทัพหน้า | เที่ยวบุกชัฎลัดป่าพนาศรี | ||
จนพ้นดงพงชัฎถึงนัที | ชื่อลำพองวารีเป็นวังวน | ||
ประกอบด้วยเงือกงูอันแรงร้าย | กุมภีล์พาลพล่านว่ายอยู่สับสน | ||
ลงข้ามพลม้าช้างมากลางชล | ไม่เห็นหนด้วยเป็นยามสนธยา | ||
เที่ยวหลีกไม้ไล่โดนแต่จระเข้ | จนซวนเซพลาดพล้ำถลำผา | ||
บ้างหกล้มจมลงในคงคา | ขึ้นคว้าหาฝั่งฟากชลธี | ||
ไปตามรอยบทจรทัพหน้า | ไล่บุกหารอยเท้าไอ้ลาวหนี | ||
เที่ยวแคะค้นมรรคาในราตรี | จนสุดแรงพาชีและไอยรา | ||
บรรลุบ้านนามกะตุดชางแปน | โอ้ว่าแสนสุดยากสหัสสา | ||
จนสิ้นแรงหิวโหยลงโรยรา | เข้าตากต่างโภชนาทุกคืนวัน | ||
ประทับริมอาวาสในหิมเวศ | ตามสังเกตบึงใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
ก็พบพวกกองหน้าเข้ามาทัน | อภิวันท์หมอบเมียงอยู่เรียงราย | ||
ขุนณรงค์โจมจับเอาลาวได้ | โปรดให้ไล่คำให้การอ่านถวาย | ||
ครั้นทราบเสร็จทรงเห็นเป็นอุบาย | จึงสั่งนายขุนณรงค์ให้รีบจร | ||
คอยจับลาวที่จะลงมาจุดบ้าน | จะชิงขนอาหารเข้าสิงขร | ||
แต่ทัพใหญ่หยุดพักสำนักนอน | คอยนิกรล้าหลังในดงดาน | ||
พี่สุดแสนชอกช้ำระกำจิต | เหมือนเวรก่อต่อติดมาตามผลาญ | ||
ลำบากตนสุดทนที่ทรมาน | ทั้งอาหารอดอยากลำบากกาย | ||
เมื่อยามนอนนอนเหนือใบไม้ลาด | เมื่อยามกินเคลื่อนคลาดเวลาหมาย | ||
จะกินน้ำก็แต่ตมขมระคาย | ล้วนกลิ่นอายสาบสางทั้งช้างคน | ||
อันความเข็ญไหนจะเห็นในอกพี่ | ด้วยลับลี้อยู่ในป่าพนาสณฑ์ | ||
จึงจดหมายมาให้แจ้งแห่งยุบล | ซึ่งเหตุผลทุกข์ยากลำบากใจ | ||
ถึงกระนั้นก็ไม่วายคะนึงน้อง | ที่ห่างห้องห่วงคิดพิสมัย | ||
อันศึกนอกก็ไม่นึกเท่าศึกใน | พี่เตรียมใจตรมจิตทุกราตรี | ||
ครั้นอรุณเรื่อรุ่งจำรัสฟ้า | กระจ่างหล้าเหล่าไม้ในไพรศรี | ||
ช้างประทับรับเสด็จจรลี | ตามวิถีแถวในไพรพนม | ||
พี่เก็บพรรณพฤกษาผลาหาร | อันเปรี้ยวหวานลางชาติก็ฝาดขม | ||
ทั้งหว้าหวายพลับพลองของนิยม | และม่วงปรางซางซมตะคร้อครอง | ||
หมากพอกผลซามสุกอยู่ดื่นดาษ | อันรสชาติหวานดีไม่มีสอง | ||
ลูกขวิดขวาดดาษดกลงตกกอง | ทั้งแห้วหาดตาดต้องมะเฟืองไฟ | ||
พวาหวานยามยากอร่อยรส | เมื่อคราวอดโอชาจะหาไหน | ||
เที่ยวเลือกเก็บสิ่งของที่ต้องใจ | อันมีในหิมวันต์อรัญญา | ||
ถึงบ้านโพธิ์ภูมิฐานเป็นลานเลี่ยน | อยู่กลางเตียนบ้านติดกันแน่นหนา | ||
พวกนิกรจรลงในคงคา | สำราญร่มรุกขาอยู่ริมชล | ||
พระที่นั่งเลยทางไปกลางชัฎ | ถึงบ้านลาดมีวัดอยู่กลางหน | ||
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน | ก็ตรวจพลหยุดพักพวกโยธี | ||
ริมชายเชิงภูเก้าโดยกำหนด | ซึ่งบรรพตอยู่กระหนาบแนววิถี | ||
ทั้งเก้ายอดเยี่ยมเมฆเมฆี | สถานที่โล่งเลี่ยนเตียนสบาย | ||
ล้วนบ้านลาวเรียงรันเป็นหลั่นสลับ | อเนกนับจะกำหนดนั้นเหลือหลาย | ||
เห็นกองทัพวุ่นวิ่งทั้งหญิงชาย | แตกกระจายขึ้นบนยอดคิรี | ||
บ้างก็แอบเล็ดลอดมาสอดมอง | พอได้ช่องปืนยิงแล้ววิ่งหนี | ||
พวกไทยหลบลุกได้เข้าไล่ตี | ไอ้ลาวหนีซ่อนตัวด้วยกลัวตาย | ||
ต่างคนไม่ประมาททั้งกองทัพ | นายและไพร่มิได้หลับสิ้นทั้งหลาย | ||
อันอาวุธม้าช้างไม่ห่างกาย | เขม้นหมายคอยศึกจะโจมตี | ||
ครั้นส่างแสงหิรัญสุวรรณเรื่อ | คณาเนื้อนกก้องในไพรศรี | ||
พอพ้นยามสนธยาและราตรี | ค่อยยินดีบางเบาบรรเทาใจ | ||
ตั้งกระบวนจัตุรงค์แล้วทรงช้าง | ขยายย่างจากท่าที่อาศัย | ||
ละเลาะเลียบแนวเขาลำเนาไพร | เห็นแสงไฟเรืองรอบมรรคา | ||
ไอ้ลาวแอบเอาไฟเข้าใส่ยุ้ง | แล้วรบพุ่งโหมหักกันหนักหนา | ||
ขุนณรงค์ลงจับได้ตัวมา | พิฆาตฆ่าล้มตายลงหลายคน | ||
ที่บ้านพร้าวต่อแดนบ้านแสนตอ | ไม่เหลือหลอเสียเข้าไม่ทันขน | ||
พวกกองทัพทุกข์ทั่วทุกตัวคน | เห็นขัดสนด้วยเสบียงนั้นบางเบา | ||
ก็รีบจรมิได้หย่อนลงหยุดพัก | เข้าโหมหักชิงเข้าที่ลาวเผา | ||
ไปติดตามรบรุกทุกลำเนา | ก็ชิงเอาเสบียงได้ครามครัน | ||
สดับข่าวลาวมาตั้งสู้ | ที่หนองบัวลำภูเป็นค่ายขัน | ||
ทำทิมั่นกั้นทางไปเวียงจันท์ | ทั้งแปดพันคอยท่าจะราวี | ||
ระยะทางนั้นห่างสักร้อยเศษ | พอร้อนแรงสุริเยศจำรัสศรี | ||
ถึงบ้านพร้าวเหล่าสถานสะอ้านดี | ก็พักพวกโยธีเข้าพร้อมกัน | ||
ชุมนุมทัพจับจัดเป็นกองหน้า | ทั้งปีกซ้ายปีกขวาและกองขัน | ||
พวกสามหอกเจ็ดหอกก็ออกพลัน | พวกรามัญเดินหน้าพม่าตาม | ||
ครั้นได้ฤกษ์เลิกทศโยธี | เสียงดนตรีกึกก้องท้องสนาม | ||
เพชรฤกษ์รณรงค์ในสงคราม | มห้ข่มนามแล้วเสด็จออกยาตรา | ||
จรจากถิ่นที่ประทับร้อน | บทจรตามทางระวางผา | ||
เขม้นเมิลเดินโดยมรคา | ต่างกำยำกายาทุกตัวคน | ||
บ้างทรงเครื่องโพกผ้าตะแบงมาน | บ้างกินยาทาว่านอยู่สับสน | ||
บ้างปลุกฤทธิสิทธิเดชพระเวทมนตร์ | สำเริงรณอิทธิฤทธิเรืองแรง | ||
พวกรามัญปลุกเสือสักที่ขา | พวกพม่าปลุกแมวสักที่แข้ง | ||
เอามือปบตบตีให้มีแรง | ทำตาแดงดิบโดดโลดทะลวง | ||
แขกตานีเสกน้ำซะระบัด | แล้วเป่าปัดเวทมนตร์ข้างตวนหลวง | ||
เช็ดหน้าโพกนุ่งผ้าตาเป็นดวง | ถือหอกควงเดินเคียงกันดูดี | ||
ก็ลุถึงทางท่าชลาสินธุ์ | ที่แถวถิ่นลำพะเนียงพนาศรี | ||
พร้อมนิกรโยธาฝั่งวารี | ตั้งกระบวนนาคีลงข้ามชล | ||
ให้ข้ามกลางหางเศียรอยู่ภายหลัง | คอยระวังต้นทางที่กลางหน | ||
ครั้นถึงพร้อมขึ้นบกแล้วยกพล | ล่วงตำบลหนองบัวเข้าโดยจง | ||
เห็นบ้านจิกเรียงรายอยู่ชายหนอง | เขม้นมองดูก็น่าพิศวง | ||
ถ้ากองลาวมาซุ่มที่พุ่มพง | เข้าแวดวงตัดทัพก็เสียที | ||
ให้กองหน้าดากันไปเที่ยวค้น | ไม่พบคนครอบครัวก็กลัวหนี | ||
ทิ้งสถานบ้านถิ่นไม่ยินดี | เที่ยวหลบลี้ซุกซ่อนใปดอนดง | ||
แล้วยกเลยล่วงพ้นตำบลบ้าน | ระยะย่านชายไม้ไพรระหง | ||
ค่อยเลี้ยวเลียบแนวหนองบุษบง | ในจิตจงมาดมุ่งกับไพรี | ||
ถึงพลับพลาอาศัยอนุพัก | ที่สำนักนอนทางกลางวิถี | ||
ก็ยลเขตค่ายลาวนั้นยาวรี | ชัยภูมิวาสุกรีอันเรี่ยวแรง | ||
ทั้งกว้างยาวราวสามสิบเส้นเศษ | มีคูเขตรั้วขวากล้วนเข้มแข็ง | ||
ตั้งประชิดติดกันคั่นกำแพง | เสาไม้แดงร้อยเอ็นดูอาจอง | ||
สนามเพลาะช่องปืนตลอดป้อม | มีลับล้อมหอรบสูงระหง | ||
ดูท่วงทีอาจหาญชาญณรงค์ | ในแว่นวงขอบเขตที่คามา | ||
แต่ครอบครัวต้อนออกไว้นอกค่าย | เที่ยวปีนป่ายขึ้นไปเดินบนเนินผา | ||
พวกกองทัพลอบลัดไปทัศนา | จนลิบตาแลลับบนคิรี | ||
แต่กำลังตั้งรออยู่คอยรับ | ขึ้นหอรบรายตับไว้ตามที่ | ||
เขม้นมองคอยท่าจะยายี | ทำลอบลี้ซ่อนเร้นไม่เห็นพล | ||
พวกไทยถึงพร้อมเข้าล้อมค่าย | ไปตามชายทิวป่าพนาสณฑ์ | ||
เหล่านายร้อยเร่งรัดกำจัดพล | ให้รุกร้นต้อนตามกันเติมมา | ||
เร่งเกณฑ์กันล้อมค่ายได้สองด้าน | ก็สุดสิ้นทหารที่อาสา | ||
ด้วยค่ายลาวยาวใหญ่มหึมา | เหลือกำลังโยธาจะอ้อมวง | ||
จึงรอรั้งโปรดสั่งทหารกล้า | ออกขี่ม้าสื่อสาส์นตามประสงค์ | ||
ให้แม่ทัพมาประณตบทบงสุ์ | จอมณรงค์สองเสด็จดำเนินมา | ||
พระยานรินทร์กลับกลอกแล้วบอกเบือน | ทำพูดเชือนว่ายังชวนกันปรึกษา | ||
แล้วเสแสร้งแกล้งแต่งเป็นสารา | ทิ้งออกมาว่าจะขอเป็นไมตรี | ||
พวกทัพไทยหลงคิดจิตประวิง | ด้วยลาวยิงสัญญาเข้าหน้าที่ | ||
บ้างโห่ร้องก้องป่าพนาลี | ได้ท่วงทีสาดปืนเป็นโกลา | ||
จนควันกลุ้มพุ่มพงดงสิงขร | บนอัมพรมัวมืดพระเวหา | ||
ที่ค่ายลาวเลื่อนลับไปกับตา | ด้วยธุมามืดคลุ้มอรุ่มมัว | ||
พวกกองไทยถอยหลังมาตั้งมั่น | ก็เกณฑ์กันเร่งล้อมเข้าพร้อมทั่ว | ||
บ้างขุดดินขึ้นตั้งลงบังตัว | ไม่ย่นย่อท้อกลัวแก่ไพรี | ||
ทุกหมวดกองเกณฑ์กันเข้าทุกด้าน | เหล่าทหารแผลงฤทธิไม่คิดหนี | ||
ทั้งปืนใหญ่น้อยยิงเป็นสิงคลี | ถ้อยทีรบรอเข้าต่อยุทธ์ | ||
ลาวไล่ไทยหนีเป็นทีท่า | ลาวล่าไทยไล่อุตลุด | ||
พุ่งซัดศัสตราแลอาวุธ | สัประยุทธ์ไม่ย่อท้อกัน | ||
เสียงไพร่พลดนตรีออกมี่ก้อง | ปี่พาทย์ฆ้องกราวเชิดดูเฉิดฉัน | ||
กลองแขกตีเปลี่ยนแปลงเมื่อแทงกัน | บันลือลั่นกึกก้องทั้งหิมวา | ||
ดูแสงปืนไทยลาวนั้นวาบวับ | ดังหิ่งห้อยย้อยจับบนพฤกษา | ||
ก้องสำเนียงเสียงโห่เป็นโกลา | ดุจฟ้าฟาดสายทำลายลง | ||
มืดคลุ้มกลุ้มควันทั้งวันเวศ | ในขอบเขตหิมวาป่าระหง | ||
โพยมพยับอับแสงพระสุริยง | จนลดลงลับเหลี่ยมยุคุนธร | ||
พระยาเกียรติ์รามัญประมาทศึก | เข้าโหมฮึกแทงค่ายทลายถอน | ||
ก็ต้องปืนนกสับลงพับนอน | พระยามอญอาสัญในทันตา | ||
ปลัดกองถาโถมเข้าโจมอุ้ม | อ้ายลาวซุ่มยิงซ้ำเข้าอังสา | ||
ทั้งสองนายวายชีพชีวา | อ้ายลาวร่าเริงร้องลำพองใจ | ||
พลรบต่างต้องศัสตราวุธ | บริสุทธิสามารถไม่หวาดไหว | ||
เข้ายิงแทงลาวตายกระจายไป | โลหิตไหลแดงดาษปัฐพี | ||
เมื่อเริ่มรบกันแต่บ่ายจนรุ่งเช้า | พวกกองลาวเหลือฤทธิ์ก็คิดหนี | ||
กระโดดค่ายป่ายปีนขึ้นคิรี | พม่ามอญต้อนหนีกระหนาบไป | ||
บ้างถูกปืนถูกหอกระยำยับ | ไทยเข้าโถมโจมจับเอาตัวได้ | ||
ใส่ตะโหงกผูกมัดมาบัดใจ | เข้าส่งให้ตำรวจใส่ตะราง | ||
แต่ตัวนายโยธาพระยานรินทร์ | ครั้นพลไพร่ไปสิ้นก็ขัดขวาง | ||
ขึ้นขี่ขับนางม้าเป็นท่าทาง | ออกวิ่งวางจะไปขึ้นบนคิรี | ||
กองพระยากลาโหมเข้าโจมจับ | พวกกองทัพติดพันไม่ทันหนี | ||
ก็ตกม้าลงไปขัดอยู่ปัฐพี | พวกโยธีกลุ้มกลัดเข้ามัดมา | ||
ถึงถวายบังคมพระบรมบาท | จอมณรงค์ปรงประภาษที่ปรึกษา | ||
ให้ซักถามตามยุบลแต่ต้นมา | ได้กิจจาแจ้งจริงทุกสิ่งอัน | ||
ว่าอนุให้สุริยะหลาน | มาตั้งด่านเข้าสารเป็นที่มั่น | ||
พลรบสองหมื่นหกพัน | ทำเขื่อนค่ายยับยันกับคิรี | ||
ตั้งบิลันกันทางไว้หว่างเขา | ให้ขนเอาศิลาขึ้นหน้าที่ | ||
คอยจะทุ่มทิ้งทับให้ยับยี | กันวิถีไว้ที่กลางหนทางจร | ||
ตูข้อยน้อยเห็นว่าเหลือกำลังนัก | จะหันหักขึ้นข้ามบนสิงขร | ||
จะสิ้นเสียโยธาพลากร | จงผันผ่อนทรงคิดให้จงดี | ||
อันเวียงจันท์ล้วนแต่คันภูเขาล้อม | จำเพาะจรขึ้นจอมคิรีศรี | ||
อันทางราบที่จะไปนั้นไม่มี | ช่องวิถีแสนสุดกันดารเดิน | ||
ที่ทางไปหนองหานด่านสนม | นั้นเชียงสามาระดมบนเขาเขิน | ||
ทำค่ายขั้นกั้นทางไว้กลางเนิน | พลประมาณหมื่นเกินสักสามพัน | ||
ไม่ใกล้ไกลไปจากช่องเข้าสาร | ระยะย่ายสามคืนที่เดินขยัน | ||
ข้างช่องซ้ายมรคาอีกห้าวัน | ชื่อด่านนั้นคำกีลงเป็นทางจร | ||
ราชวงศ์ยกลงไปรักษา | คัดศิลาทับทางวางสลอน | ||
ทหารหมื่นหกพันกันนคร | ประจำนอนอยู่บนเนินคิรีวัน | ||
แต่นั้นไปนับได้สิบเอ็ดหลับ | ถึงด่านซ้ายเขาคับเป็นด่านขัน | ||
พวกเชียงใต้รักษาอยู่ห้าพัน | หนทางนั้นดงชัฏที่ลัดลง | ||
จะเดินอ้อมเขาไปนั้นไกลนัก | ไม่รู้จักเดินเคยก็เลยหลง | ||
ช่องเข้าสารด่านนี้เป็นที่ตรง | แต่มั่นคงด้วยพยุหโยธี | ||
แล้วเจ้าเวียงแจงจัดดำรัสไว้ | ว่าทัพไทยตีด่านเราซานหนี | ||
จะโจนของล่องลงในนัที | ให้สุดสิ้นชีวีในคงคา | ||
แม้นพระองค์ทรงตีเอาด่านได้ | แล้วเสด็จไปชมเวียงให้สุขา | ||
ไม่ลำบากยากใจแก่โยธา | ตามแต่จะปรารถนาทุกสิ่งอัน | ||
แต่กองทัพพระเสด็จดำเนินมา | พวกโยธาเรืองแรงล้วนแข็งขัน | ||
ทั้งหน้าหนุนพร้อมเสร็จสักเจ็ดพัน | ข้อยหวาดหวั่นเห็นน้อยจะเหลือแรง | ||
อันเวียงจันท์ไพร่พลเอนกนับ | ทั้งกองแก้วเข้ากำกับก็เข้มแข็ง | ||
ทั้งลาวญวนพุงดำซ้ำเป็นแรง | แล้วจัดแจงสามารถด้วยศาสตรา | ||
อันทางขึ้นด่านเขาก็แคบคับ | เห็นสุดฤทธิจะรับด้วยตรอกผา | ||
เขาตั้งตับคอยยิงกลิ้งศิลา | ทั้งน้ำท่าที่นั้นก็กันดาร | ||
ขอยกไว้ในเสด็จในศึกอื่น | สักสิบหมื่นก็ไม่ตีเขาแตกฉาน | ||
นี่แล้วแต่พระบรมสมภาร | ก็สิ้นคำให้การลงทันใด | ||
ทรงดำรัสตรัสถามตามสุนทร | ศรีรัตรกรบังคมไหว้ | ||
ลิขิตคำให้การแล้วอ่านไป | ไม่สงสัยทราบสิ้นทุกสิ่งอัน | ||
แล้วทรงคิดที่จะยกเข้าตีด่าน | จะสิ้นเสียพลทหารเป็นแม่นมั่น | ||
จะตั้งรอไว้พองามสักสามพัน | ที่หนึ่งนั้นมีน้ำในลำธาร | ||
เป็นบ้านร้างทางลงมาจากเขา | นามลำเนาส้มป่อยเป็นถิ่นฐาน | ||
ทรงดำริแล้วดำรัสให้จัดการ | แต่งทหารทัพไทยพะม่ามอญ | ||
ทั้งสามนายรีบยกไปตั้งมั่น | ชักปีกกาถึงกันอย่าย่อหย่อน | ||
พวกไทยมอญพะม่าสถาวร | ประณมกรกราบถวายบังคมลา | ||
พอได้ฤกษ์รีบยกตามรับสั่ง | คอยระวังทัพลาวบนเนินผา | ||
ถึงตั้งค่ายรายลงริมคงคา | ชักปีกกาปิดน้ำในลำธาร | ||
กองตระเวณเหณฑ์ลาวได้ข่าวทัพ | ออกรบรับกั้นที่ริมห้วยละหาน | ||
ครั้นแตกหนีขึ้นไปแจ้งแสดงการ | กับนายด่านแม่ทัพบนคิรี | ||
อ้ายสุริยาอ้ายสุโพอ้าบหงวนคำ | เห็นได้ทีหมายทำให้ป่นปี้ | ||
คิดจะยกโยธาไปฆ่าตี | จะฟันแทงดลที่ไม่ทั่วกัน | ||
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ນິຣາດວຽງຈັນ ຕອນ 3
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น