| เราจัดแจงกันให้พร้อมไปล้อมไว้ | | จะจับไทยเล่นให้สุขเกษมสันต์ |
| มัดแขนศอกเอามาเบิ่งหน้ามัน | | แล้วส่งเมื้อเวียงจันท์ให้เจ้าเรา |
| ครั้นปรึกษาปรารภกันเสร็จสรรพ | | ก็ยกทัพเปิดทางลงหว่างเขา |
| ล้วนธงทิวพู่หอกเป็นดอกเลา | | ทั้งม้าช้างย่างเหย่าเร่งเร็วมา |
| สุริยะแม่ทัพขึ้นเสลี่ยง | | สองข้างเคียงดาบกรายทั้งซ้ายขวา |
| อ้ายหงวนคำหนุนทัพสลับมา | | อ้ายสุโพทัพหน้าก็รีบจร |
| ไอยราห้าร้อยล้วนสับสน | | กระหึ่มมันกล้าชนไม่ย่นหย่อน | | |
| ตระหง่านเงื้อมภูผาเห็นงางอน | | ล้วนผูกเขนอาภรณ์สง่างาม |
| เอาหอกซัดมัดปักไว้สองข้าง | | คนกลางถือปืนยืนสนาม |
| คนคอของ้าวดูวาววาม | | คนท้ายสายทามกระวินตี |
| พวกทัพม้าดาดาษออกกลาดป่า | | ทั้งเบาะอานพานหน้าสลับสี |
| ปักหางมยุราเป็นท่าที | | ทหารขี่ควบขันกันเร็วมา |
| พวกทัพพลเดินเท้าราวกับมด | | ทั้งดงแดนแน่นหมดออกมืดป่า |
| สรรพไปด้วยอาวุธอันนานา | | มีเชือกยาวราววาทุกตัวคน |
| พอทัพหน้าถึงค่ายเข้ารายล้อม | | พวกทัพหลวงหุ้มห้อมเข้าสับสน |
| ออกถอนขวาดถอนหนามคำรามรณ | | ตั้งประจญประชิดเข้าติดพัน |
| พวกกองหลังตั้งติดปีกกาใน | | เข้าชิงหนองน้ำไทยลงตั้งมั่น |
| ทั้งช้างมาดาล้อมอยู่พร้อมกัน | | เป็นสามชั้นมิได้ว่างออกเคลื่อนคลาย |
| ทั้งไทยมอญพะม่าออกมารับ | | เห็นศึกหุ้มทุ่มทับระส่ำระสาย |
| ทั้งเสียงคลองหนองน้ำจะซ้ำตาย | | ให้ระหายหิวโหยอยู่โรยแรง |
| เสียงไทยโห่มอญเห่พะม่าฮือ | | สดับดังอู้อื้อด้วยคอแห้ง |
| พวกศึกลาวมีใจยิ่งได้แรง | | เร่งเข้าแย่งค่ายให้ยับจะจับคน |
| ทั้งไทยมอญพะม่าไม่ล่าถอย | | ก็ยิงปืนใหญ่น้อยดังห่าฝน |
| บ้างล้มลุกคลุกคลานไม่ทานทน | | ทั้งญวนวิ่งลาววนอยู่วุ่นวาย |
| บ้างแขนหักขาขาดลงกลาดกลิ้ง | | บ้างล้มพิงพาดขอนลงนอนหงาย |
| บ้างถูกไม่สำคัญไม่ทันตาย | | ก็กระจายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี |
| เข้าโหมแหกสามหนก็ย่นยับ | | จนรอบค่ายตายทับกันแต่ผี |
| ก็ตั้งมั่นประชิดเข้าติดตี | | ทุกหน้าที่ล้อมปิดไว้มิดไทย |
| ทั้งเสียงพลเสียงปืนออกครื้นครั่น | | หมวันต์กัมปนาทหวาดไหว |
| ม้าเร็วรีบขับด้วยฉับไว | | เอาเหตุไปทูลฉลองที่หนองบัว |
| ครั้นทรงทราบเสร็จสั่งให้เกณฑ์ทัพ | | เร่งจัดจับเข้ากระบวนให้ถ้วนทั่ว |
| ที่หาบคอนซ่อนไว้ไปแต่ตัว | | จนสุดสิ้นหนองบัวเร่งบอกกัน |
| ทรงจัดไว้ให้อยู่สักสามร้อย | | ขึ้นหอคอยเฝ้าค่ายอย่าผายผัน |
| ระวังลาวอย่าให้ลัดมาตัดทัน | | จงจัดกันลาดตระเวนทุกเวลา |
| พระยาพิชัยราชาเป็นแม่กอง | | ให้ตรึกตรองพิทักษ์อยู่รักษา |
| ครั้นสั่งเสร็จแล้วเสด็จยาตรา | | สถิตหลังไอยราที่นั่งทรง |
| ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสนั่น | | บันลือลั่นหิมวาป่าระหง |
| ท่าตาเกศเวทดีก็คลี่ธง | | จมณรงค์ยาตราพลากร |
| ออกชายทุ่งมุ่งป่าพนาเวศ | | ตามสังเกตทิวทางหว่างสิงขร |
| ก็ผ่านพบคนควบอัสดร | | นำศุภสุนทรมาทูลความ |
| ว่าทัพหน้าลาวล้อมไว้แน่นนัก | | เข้าแหกหักถ้วนครบคำรบสาม |
| เห็นทัพหลวงหน่างช้าให้มาตาม | | อันสงครามครั้งนี้เห็นสุดแรง |
| ในวันนี้ทัพช่วยไม่ถึงทัน | | เห็นไม่ถึงสุริยันจะยอแสง |
| ทั้งข้าวน้ำไม่ได้กินก็สิ้นแรง | | จะคุมแข็งอยู่สักกึ่งทิวาวัน |
| ครั้นทราบเสร็จทรงเร่งไอยรา | | ให้บุกชัฏลัดป่าพนาสัณฑ์ |
| หมู่พหลพลไกรไปไม่ทัน | | ก็คลาดกันหมวดกองกระจัดจาย |
| ที่เดินจัดตัดตามเสด็จทัน | | ไม่แข็งขันเมื่อยล้านั้นเหลือหลาย |
| เสียกระบวนป่วนแยกกันแพรกพราย | | ด้วยทรงหมายว่าจะช่วยให้ทันที |
| ครั้นใกล้ค่ายพบลาวอยู่ราวป่า | | ให้ฟันฝ่าเข้ากลางหว่างวิถี |
| ดำรัสเร่งโยธาเข้ายายี | | กระโจมตีเบิกทางเข้ากลางพล |
| พวกทัพลาวกลัดกลุ้มเข้าหุ้มไว้ | | เร่งล้อมไทยตัดทางไว้กลางหน |
| บ้างไสช้างวางม้าเข้าผ่าพล | | อ้ายช้างเข็นแทงคนไม่ขามงา |
| ทหารขี่ตีท้ายแล้วปรายหอก | | ทั้งในนอกกลุ้มกลัดสหัสสา |
| จอมณรงค์ทรงยืนพื้นสุธา | | คอยเลี่ยงหลีกหลบงาที่ร่มรัง |
| จัตุรงค์ร้อยเศษที่ตามไป | | ทั้งนายไพร่มิได้ท้อจะถอยหลัง |
| เห็นงาช้างเสยสอยคอยระวัง | | บ้างหลบบ้างเบนแทงทแยงยิง |
| ทั้งคนช้างต่างต้องศัสตราวุธ | | อุตลุดวุ่นวายกระจายวิ่ง |
| บ้างซานซมล้มกลาดลงพาดพิง | | บ้างตายกลิ้งเกลื่อนกลุ้มประชุมกัน |
| ทั้งแปดทิศมิดมืดแต่คนช้าง | | จะเรื่อรางก็แต่ช่องปล่องสวรรค์ |
| พวกกองไทยถาโถมเข้าโจมฟัน | | พวกลาวรับขับกันเข้าต่อตี |
| ดูกองไทยดุจไกรสรราช | | อันองอาจมิได้ท้อจะถอยหนี |
| เข้าฝ่าฝูงเถื่อนถึกมฤกคี | | ดูท่าทีเผ่นโผนโจนทะยาน |
| บ้างหลีกหลบรบรับคอยกลับกลอก | | ทั้งดาบหอกฟาดฟันกันฉาดฉาน |
| บ้างโจนแทงแฝงฟันประจัญบาน | | บ้างรุกราญหลีกไล่กันในที |
| ทัพพระยาล่าหลงในดงชัฏ | | เร่งตามตัดมรรคาพนาศรี |
| เห็นลาวล้อมจอมณรงค์ในพงพี | | ได้ท่วงทีถาโถมเข้าโจมฟัน |
| ตลบหลังตั้งหน้าประดารบ | | ตีกระทบลาวป่วนอยู่หวนหัน |
| ไม่ทานทนย่นแยกออกแตกกัน | | กระโดดดันแหกหักเข้าพงพี |
| ไปกลัดกลุ้มรุมแหกเอาค่ายหน้า | | มอญพม่าพร้อมจิตไม่คิดหนี |
| ออกฟันแทงแย้งยิงเป็นสิงคลี | | ด้วยยินดีว่าเสด็จไปถึงทัน |
| แล้วทรงจัดคงคากระยาหาร | | พระราชทานกองทัพล้วนสรรพสรรพ์ |
| ยิ่งเข้มแข็งแรงฤทธิเข้าติดพัน | | เพราะหมายมั่นทัพช่วยกระหนาบมา |
| พวกกองลาวเหลือฤทธิจะคิดแหก | | ก็ย้ายแยกกองซ้ายและฝ่ายขวา |
| เอาทัพช้างกางซีกเป็นปีกกา | | จะห้อมหุ้มโยธาทั้งทัพไทย |
| ก็ทรงสั่งปีกซ้ายทนายขวา | | ให้กางทานต้านหน้าอย่าหวั่นไหว |
| ทหารม้าพาพลลำพองใจ | | เข้าลุยไล่ฟาดฟันประจัญบาน |
| ลาวรับไทยรุกเข้าบุกรบ | | ลาวหลบไทยไล่ด้วยใจหาญ |
| ลาวยิงไทยวิ่งเข้ารอนราญ | | ลาวแตกแซกซ่านเข้าพงพี |
| ข้างปีกซ้ายลาวตายลงซับซ้อน | | ขยาดหย่อนเสียเชิงกระเจิงหนี |
| แล้วเนื่องหนุนโยธามาราวี | | เข้าต่อตีตัดทางออกกลางแปลง |
| ทัพไทยได้ชัยไม่ยั้งหยุด | | รีบรุดเข้าหักด้วยกำแหง |
| เป็นควันกลุ้มเมฆาในป่าแดง | | ไม่แจ่มแจ้งมัวมืดเป็นเมฆี |
| ล้วนโลหิตติดไม้ลงไหลกอง | | ออกเนืองนองแดงดาษปัฐวี |
| อาศพกลาดดาษดงในพงพี | | บ้างทับยีเหยียบย่ำกันรอนราญ |
| ต้นเต็งรังพังล้มระดมดาษ | | ก็โค่นขาดราบรื่นด้วยปืนผลาญ |
| ละโล่งเลี่ยนเตียนพงในดงดาน | | ทุกห้วยธารโทรมทรุดชำรุดพัง |
| ศึกส้มป่อยฟั่นเฝือเหลือกำหนด | | จะจำจดสุดเล่ห์คะเนหวัง |
| แต่ฟันฝ่าอาวุธสุดกำลัง | | เป็นศึกสั่งเวียงสิ้นฝีมือลาว |
| เฝ้ารบรับสัประยุทธ์จนสุดฤทธิ | | เมื่อขุกคิดกัมปนาทอนาถหนาว |
| ด้วยข้องขัดลูกดินนั้นสิ้นคราว | | เอาหอกง้าวดาบดั้งเข้าราวี |
| ทั้งสองคืนสองวันประจันรบ | | จนจวนพลบไทยแหกก็แตกหนี |
| เตลิดด่านซานขึ้นบนคิรี | | บ้างวิ่งเข้าพงพีกระจัดกระจาย |
| อนุแจ้งเหตุการณ์ว่าด่านเสีย | | ก็พาเมียจะไปสู่กระแสสาย |
| เสลี่ยงขาดพลาดล้มลงจมทราย | | นิมิตร้ายบอกเหตุมหัศจรรย์ |
| ทั้งผ้าผ่อนล่อนลุ่ยไม่ติดตน | | ก็เซ่อซนสิ้นสมประดีไม่มีขวัญ |
| ลงเกลือกกลิ้งนิ่งแน่อยู่แดยัน | | อุระสั่นสิ้นทั้งวิญญา |
| เรียกอนงค์นุชน้องคำปล้องพี่ | | ว่ามานี่มาเร็วพี่ร่ำหา |
| คำปล้องภู่คู่ใจครรไลคลา | | หวีดผวาเข้าประคองทั้งสองนาง |
| พยุงองค์ทรงยืนให้ยุรยาตร | | ไปข้ามหาดลงท่านาวาขวาง |
| ให้เคืองแค้นคนหามไปตามทาง | | สั่งให้ล้างคู่ท้ายเสียวายชนม์ |
| แล้วเร่งรัดจัดทรัพย์สิ่งของ | | ทั้งเงินทองดื่นดาษไม่ขาดขน |
| ตำรวจรักษ์แจกปันทั้งพันคน | | สำหรับตนติดตามไปนาวา |
| กำหนดเงินคนละชั่งตั้งพิกัด | | บ้างซ้ำตัดทองเติมบ้างเพิ่มผ้า |
| บำรุงใจไปเป็นเพื่อนอาตมา | | ครั้นเสร็จสั่งภริยายอดอนงค์ |
| ทั้งสามร้อยน้อยแน่งนางสนิท | | ที่ใช้ชิดคู่เชยเคยประสงค์ |
| ว่าเวรกรรมจำเพาะมาเจาะจง | | จะจำจากเวียงวงนิเวศเรา |
| ผู้ใดมีวงศาคณาญาติ | | เราให้ขาดเร่งมารับไปเถิดเจ้า |
| ที่นางไทยให้คืนถิ่นภูมิลำเนา | | ไปตามเผ่าพงศ์ญาติที่กวาดมา |
| ทั้งเงินทองกองโกยเอากอบให้ | | มากน้อยตามใจปรารถนา |
| ที่ไร้ญาติขาดมิตรไม่ติดมา | | เป็นกำพร้าเลือกไว้เอาไปตาม |
| ครั้นเสร็จสั่งวงศาประชาราษฎร์ | | เร่งต้อนกวาดลงนาวาท่าสนาม |
| ที่ล้นเหลือไล่ส่งเข้าดงราม | | ให้ยกตามทางบกเป็นหมวดกอง |
| ประมาณหมู่สัดจองที่ล่องตาม | | สักพันลำลอยหลามแม่น้ำของ |
| ขอสำเร็จเสร็จสรรพทั้งเงินทอง | | ก็ทิ้งเมืองเลยล่องทางนัที |
| เมื่อศูนย์เสียเวียงจันท์นั้นเดือนหก | | เป็นปีกุนนพศกอนุหนี |
| ยกนิกรโยธาลงนาวี | | ก็ตรงไปยังที่ท่าสีดา |
| ครั้นสงครามมีชัยได้ดังนึก | | พระจอมศึกทรงโสมนัสสา |
| ให้เตรียมตรวจหมวดหมู่พวกโยธา | | จะยกข้ามภูผาไปตามตี |
| ที่ป่วยไข้ให้คืนหนองอุบล | | รักษาตนตั้งทัพอยู่กับที่ |
| แล้วหยุดยั้งรั้งแรมพวกโยธี | | อยู่เชิงชายคิรีริมคงคา |
| พี่แสนสุดชอกช้ำระกำกาย | | ดังจะวายวางชีพลงสังขาร์ |
| แต่ทรมานอยู่บนอานอัศวรา | | สามทิวามิได้เว้นสักโมงยาม |
| จนศึกไปได้ชัยชนะแล้ว | | จึงเคลื่อนแคล้วจรดลพ้นสนาม |
| ก็ไม่วายหวาดพะวงในสงคราม | | ยังกริ่งเกรงว่าจะตามมาต่อตี |
| สู้อดกลั้นเวทนานั้นสาหัส | | ถึงเจ็บขัดมาดหมายไม่หน่ายหนี |
| ขึ้นชื่อชายไม่เสียดายชีวีมี | | เมื่อถึงที่กองกรรมก็จำเป็น |
| แม้ยสุดฤทธิจิตพี่จะจากรัก | | ยุพาพักตร์จึงจะลับไม่แลเห็น |
| ถ้ากุศลช่วยชูให้อยู่เย็น | | ไปปราบเข็ญแล้วคงพบประสบกัน |
| แล้วถอยทัพลงมารับอีกสองศึก | | อ้ายขอนแก่นโหมฮึกทำหุนหัน |
| เข้าล้อมค่ายหนองบัวอยู่พัวพัน | | ได้รบกันล่าหลบขึ้นคิรี |
| ก็ตรัสสั่งพระณรงคสงคราม | | ให้ยกเร่งรีบตามไอ้ลาวหนี |
| ไปทันทัพรบรับกันทันที | | พวกไทยลาวตีแตกกระจายจร |
| ก็หยุดทัพกลับพวกจัตุรงค์ | | ค่อยลัดลงตามทางข้างสิงขร |
| ถึงถวายบังคมประณมกร | | แสดงความตามที่รอนราญณรงค์ |
| ครั้นศึกเสร็จแล้วเสด็จจรลี | | ขึ้นข้ามด่านคิรีสูงระหง |
| ล้วนหินเลื่อมเหลืองพรายเป็นลายรงค์ | | เงื้อมชะโงกโตรกตรงเป็นตรอกทาง |
| จำเพาะขึ้นจรดลได้คนเดียว | | จะเลี่ยงเลี้ยวหลีกลัดก็ขัดขวาง |
| พอช้างก้าวเท้าตรงให้ลงราง | | ค่อยย้ายย่างคุกเท้าด้วยเข่าคลาน |
| เอางวงคว้าผากอดแล้วสอดท้าว | | ค่อยโน้มน้าวหน่วงกิ่งพฤกษาสาร |
| จนสุดยอดยากแค้นแสนกันดาร | | อันมีชื่อช่องเข้าสารเป็นเขื่อนเวียง |
| บนยอดเขาตั้งค่ายแล้วรายขวาก | | ต้องเดินบากเบี่ยงเท้าคอยก้าวเฉียง |
| ล้วนกองหินรอบค่ายอยู่รายเรียง | | ค่อยลัดเลี่ยงเลี้ยวเลียบคิรีจร |
| ลงหลังเขาค่ายมีอีกสี่ด้าน | | ระยะย่านต่อตั้งทัพสิงขร |
| เห็นแถวทัพลาวทำประจำนอน | | จนเต็มดอนพิศดูน่าอัศจรรย์ |
| เห็นแต่ค่ายผู้คนเที่ยวซนหนี | | เพราะเสียทีแตกทัพอันคับขัน |
| จะรอรับกลับตัวกลัวไม่ทัน | | เตลิดเลยเวียงจันท์กระจัดจาย |
| ดูคิรีที่ขันดังเขื่อนเพชร | | น่าขามเข็ดคิดไปก็ใจหาย |
| ไม่ควรทิ้งนัคราน่าเสียดาย | | ด่านทลายศึกจะเลยเข้าเกยวัง |
| หัวจุกลาวคราวนี้เป็นที่มาด | | จะแคล้วคลาดมือไทยอย่าได้หวัง |
| ต้องบุกป่าผ่ารกอกแทบพัง | | ให้แค้นคั่งเดือดดาลทะยานใจ |
| แล้วรีบจรข้ามดอนโดยวิถี | | ลงจากที่โขดเขินเนินไศล |
| ถึงสถานบ้านแถวอยู่แนวไพร | | เป็นย่านใหญ่เยิ่นยาวอยู่ราวทาง |
| ที่ทุ่งนาท่าน้ำลำละหาน | | ปลสะอ้านดูสะอาดดังกวาดถาง |
| เห็นแต่ราวตากผ้าที่ท่านาง | | เป็นบ้านร้างเรือนเย็นไม่เห็นคน |
| พระสุริยนยอแสงสนธเยศ | | เสนาะเสียงมยุเรศในไพรสณฑ์ |
| วิเวกแว่ววาบทรวงดวงกมล | | ระเหหนหาที่จะนิทรา |
| ถึงบ้านเมดอาวาสสะอาดเอี่ยม | | ดูราบเลี่ยมรื่นรุกขสาขา |
| จอมณรงค์ทรงประทับบนพลับพลา | | ประชุมชาวโยธาสถิตนอน |
| ครั้นหิรัญรุ่งสางสว่างภพ | | กระจ่างจบหิมเวศเขตสิงขร |
| สะพรั่งพร้อมโยธาพลากร | | ทุเรศร้อนรีบยกซึ่งโยธี |
| ให้ลัดทางลงหว่างจังหวัดบ้าน | | ล้วนถิ่นฐานรายเรียงเคียงวิถี |
| พฤกษาสวนนานาบรรดามี | | ออกกลาดกลางทางที่จะลีลา |
| พวกกองทัพเปรี้ยวหวานนั้นพานโซ | | ก็เผ่นโผป่ายปีนขึ้นพฤกษา |
| บ้างฟันกิ่งชิงกันเข้าเก็บมา | | บ้างรั้งราโก่นถางลงวางดิน |
| ที่เรือนเหย้าเผาจุดแล้วรื้อแย่ง | | บ้างฟันแทงสักสับหาทรัพย์สิน |
| ทั้งยุ้งฉางล้างล้มลงจมดิน | | ให้ช้างกินอาหารสำราญใจ |
| แล้วจากจรร้อนรีบจรลี | | ถึงถิ่นที่นามบ้านชื่อพานไฝ |
| เป็นหลุมลุ่มลาดขวางหนทางไป | | สะพานใหญ่ยาวเยิ่นเกินประมาณ |
| ระยะห้องหกร้อยห้าสิบหก | | ถึงตีนตกข้ามน้ำลำละหาน |
| ดูราบรื่นพื้นพาดลาดกระดาน | | ที่กลางย่านมีที่สำนักพล |
| แต่โดยยาวเก้าร้อยกับสามวา | | ดูยืดยังมรคาพนาสณฑ์ |
| ท่านสร้างไว้ให้เดินดำเนินคน | | อนุสนธิ์สืบแจ้งแสดงความ |
| เจ้าของสร้างหัวคูอยู่ที่วัด | | เมตตาสัตว์เดินทางกลางสนาม |
| ต้องลุยหลุ่มจมลาดไม่ขาดยาม | | ผู้ใดข้ามยากแค้นแสนกันดาร |
| จึงชวนชัดพรรคพวกพระสงฆ์ศิษย์ | | เข้าพร้อมคิดกันสิ้นทั้งถิ่นฐาน |
| จำหน่ยทรัพย์สินจ้างสร้างสะพาน | | ก็สมการปรารถนาอยู่ถาวร |
| แต่ไอยราพาชีต้องขี่ข้าม | | ลงลุยตามเต็มพรั่นขยั่นหยอน |
| บ้างติดหล่มจมเลนระเนนนอน | | จนถึงดอนแสนสุดกันดารเดิน |
| พวกโยธาพากันขึ้นลินลาศ | | สะพานพาดสูงทรงระหงเหิน |
| ละโล่งลิ่วทิวแถวแนวดำเนิน | | ที่ร้อนแดดรีบเดินไปพักดอน |
| ครั้นขึ้นพร้อมไอยราและพาชี | | พวกโยธีคั่งคับสลับสลอน |
| ตั้งกระบวนด่วนเดินดำเนินจร | | พี่อาวรณ์พิศวงอยู่องค์เดียว |
| เห็นถิ่นฐานด้านดาษไม่ขาดบ้าน | | น่าสำราญคิดไปก็ใจเสียว |
| ละม้ายแม้นกรุงศรีอย่างนี้เจียว | | เสียดายเปลี่ยวเปล่าเย็นไม่เห็นคน |
| ที่เขตแดนดูงามไปตามเพศ | | ยิ่งประเทศตำแหน่งทุกแห่งหน |
| มาก่อกรรมคิดการบันดาลดล | | ให้ไพร่พลพลัดพรายกระจายจร |
| ดูบ้านพลับน่าเพลินจำเริญจิต | | ถิ่นสถิตอยู่ในกลางหว่างสิงขร |
| ล้วนเรือนรั้วดื่นดาษไม่ขาดตอน | | ออกซับซ้อนดูสายนัยนา |
| ระยะทางมีที่ตำแหน่งพัก | | ทุกสำนักห้วยธารละหานผา |
| ที่รื่นร่มริมฝั่งตั้งศาลา | | ไว้พักพวกโยธาที่เดินทาง |
| เมื่อยามยลถิ่นฐานสำราญจิต | | แล้วเสียวคิดเตรียมตรมอารมณ์หมาง |
| เหมือนอกเรียมมานิราศสวาทวาง | | เห็นบ้านร้างดุจเรื่องอันเดียวกัน |
| รัญจวนพลางทางขับไอยเรศ | | ให้ประเวศในระวางพลขันธ์
=============
|
ກໍລ່ວງເລີຍບ້ານບາງທາງອະຣັນ
(ລ່ວງເລີຍບ້ານທາງອະຣັນ ຄືບ້ານປ່າຂາດອນ)
ກໍລຸເຖິງຄົງຄາຊະລາຂຽວ
(ກໍມາຮອດແຄມນໍ້າຄົງຄາສີຂຽວ @ ເຈົ້າທັບ ຮຽກແມ່ຂອງວ່າຄົງຄາ)
ອັນໄຫຼລົບແກ້ງເກາະເຊາະກະເຊັນ
(ເຊິ່ງໄຫຼ່ລ່ອງຟອງຟົ້ງຟາດເລາະລຽບແກ້ງ ເກາະດອນ) | |
ພໍສາຍັນສຸຣິຍະນະຣະຍັບເຢັນ
(ໃນເວລາສາຍັນ ຄືຍາມຕາເວັນຄ້ອຍແລງ)
ແມ່ນໍ້າຂອງລ່ອງລ້ຽວພໍແລເຫັນ
(ເຫັນແມ່ນໍ້າຂອງລ່ອງຄົດລ້ຽວ)
ມັດສາເຕັ້ນໂດດຕາມຊະໂລທອນ
(ເຫັນປາເຕັ້ນກະໂດດຕາມວັງນໍ້າ "ຊະໂຣທຣ ແປວ່າແມ່ນໍ້າ ວັງນ້ຳ ຫ້ວງນນ້ຳ) |
| ກຸມພີພານລອຍລ່ອງທ້ອງສະໝຸດ | |
|
| ("ກຸມພີ ແປວ່າແຂ້" ມີພວກແຂ້ລອຍລ່ອງຕາມແມ່ນໍ້າ "ເຈົ້າທັບວ່າ ທ້ອງສະໝຸດ) | | ຂຶ້ນດຳຜຸດວ່າຍວຽນສຽນສະລອນ
(ພວກແຂ້ລອຍນໍ້າຜຸດຫົວດຳຊະລອນຊໍາຊ້ອນກັນຫຼວງຫຼາຍ) |
ພວກລາຫູຊູຫາງຂຶ້ນຂວາງນອນ
(ຣາຫູ "ອັນນີ້ຄົງຈະໝາຍເຖິງປາຝາຫາງ" ຊູຫາງຂຶ້ນຂວາງນອນ)
| |
|
| | ບົນສັນດອນເຊີງລາດທີ່ຫາດຊາຍ
(ຕາມສັນ ຫຼືຫາດຊາຍລຽບແຄມນໍ້າ ເອົາແຕ່ຫາງຂື້ນມາ)
|
ນັດທີກວ້າງວ້າງເວີ້ງລະເລີງລິ່ວ
(ແມ່ນໍ້າໃຫຍ່ກວ້າງຟອງເຟືອນຟາດດັງສະໜັ່ນຍາວໄກ)
ລະເມາະໝູ່ວັງວຽງນັ້ນລຽງລາຍ
(ມອງເຫັນວັງວຽງມາດມາຍສະຫຼັບກັບຕົ້ນໄມ້ເປັນຍ່ານ) | |
ພໍເຫັນທິວໄມ້ບ້ານປະມານໝາຍ
(ພໍເຫັນທິວໄມ້ ຫຼືປາຍໄມ້ສຸດສາຍຕາ ຕາມກະປະມານມອງເຫັນ) |
| | ຢູ່ຟາກຝ່າຍບູຣະພາທີ່ທານີ
(ຢູ່ຝັ່ງຕາເວັນອອກຂອງພະນະຄອນ) |
ພວກ ທັບໄທຍ໌ເຖິງຝັ່ງປະຈິມທິດ
(ກອງທັບໄທຍ໌ມາເຖິງວຽງຈັນທິດຕາເວັນຕົກ) | |
ພໍມືດມິດສິ້ນແສງພຣະສຸຣິຍ໌ສຣີ
(ແສງພຣະອາທິດກໍມືດມິດ)
|
ກໍຢຸດຢັ້ງຣັ້ງແຮມເຊິ່ງໂຍທີ
(ກໍຢຸດໂຍທາພັກແຮມ ນະທີ່ນັ້ນ) | | ປະທັບທີ່ທ່າບໍ່ຕຳບົນບາງ
(ປະທັບ "ພັກທີ່" ຕາແສງທ່າບໍ່) |
ມີສາລາພົນພັກສຳນັກນໍ້າ
(ມີສາລາພັກໄພ່ພົນທ່ານໍ້າ) | | ອະນຸທຳໄວ້ທີ່ຝັ່ງແລ້ວຕັ້ງສາ
(ພຣະເຈົ້າອະນຸວົງສ້າງໄວ້ເປັນສາງທີ່ຝັ່ງ |
| สำหรับข้ามคงคาเป็นท่าทาง | | ที่ขึ้นช้างเกยตั้งบนฝั่งชล |
| สถานที่โล่งเลี่ยนเตียนสะอาด | | อยู่ชิดหาดชายไม้ที่ไพรสณฑ์ |
| พวกกองทัพบันเทิงสำเริงรณ | | ทุกตัวตนเหิมใจจะไปเวียง |
| ครั้นจวบแจ้งแสงสนธโยบาต | | ฆ้องพิฆาตแข่งขานประสานเสียง |
| ทั้งโกร่งเกราะเคาะฟังดังสำเนียง | | ดาราเรียงร่อเขายุคุนธร |
| แสงสุวรรณพรรณรายกระจายแจ้ง | | ทั้งเหลืองแดงแลเลื่อมประภัสสร |
| พลพรั่งพร้อมกระบวนจะจวนจร | | คเชนทรเข้าประทับกับเกยทรง |
| รับเสด็จเสด็จโดยสถลมารด | | ให้เคลื่อนคลาดจากท่าชลาสรง |
| พวกช้างดั้งออกเดินดำเนินธง | | จัตุรงค์ร่าเริงบันเทิงใจ |
| ลงข้ามน้ำลำโขงแล้วหมายมุ่ง | | ไปตามทุ่งเลียบท่าชลาไหล |
| ล้วนบ้านเรือนเรียงรันเป็นชั้นไป | | ในหมู่ไม้ทิวแถวที่แนวชล |
| | | |