วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ຄະຕິສອນໃຈ

Picture@Bailane.com
(ໜັງສືທໍາ ຂຽນແບບຊາວຂືນ ແລະລື້ ວັດບ້ານໂປ່ງ ເມືອງຍອງ ປະເທດພະມ້າ)
ແປ ຫຼືປະຣິວັດເປັນອັກສອນລາວ
ຄຕິສອຣໃຈ
໑. ຫຼັບນ້ຽນີ້ການຫາຽ ຫຼັບຫຼາຽນີ້ກາຣມາກ.
໒. ຂັກໄຄ້ຕີ໋ໄໜສົມເຈີ໋ຕີ໋ຫັ້ນ ກຽດຄ້ານຕີ໋ໄໜ ຈູນເຈີຈຕີ໋ຫັ້ນ.
໓. ໃຈບຸນນີ້ມີລາພ ໃຈບາບນີ້ມີວຽຣ.
໔. ໃຄ່ມີງຶນຄໍານີ້ຫື້ລ້ຽງສັຕ ເຫັດສ້າງ ຄ້າຂາຽ.
໕. ໃຄຫື້ຈິບຫາຽນີ້ ດຸດຢາດໍາເຫຼັນພ້າຽຖວງ ໂຫຼົ້(ເຫົ້ຼາ)ຖວງສາວ ----------
(ຂໍ້ທີ່ ໕ ນີ້ຍັງອ່ານບໍ່ຖືກຄັກ ໃຜອ່ານອອກຈັ່ງໃດແກ້ໄຂໃຫ້ແນ່)
ທັງໝົດທັງປວງປະຣິວັດຕາມຮູບຄໍາ ສ່ວນແປງເປັນພາສາລາວໃຕ້ ໄທຍ໌ສຍາມໃຫ້ ອ້າຍ ດມສ, ລຸງມະນີຣັຕນ໌, ອ້າຍກ່າວນ່ານ ແປງຫື້ເນີ

พุท้าวพุนาง

กาลครั้งหนึ่ง มีนางยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่ากินนา อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ใกล้ภูเขา  นางกินนายังเป็นสาวไม่มีผัว  อยู่ตัวเดียวเดี่ยวโดด  ทุก ๆ เช้านางกินนาจะเดินไปตามป่า  จะกลับมาบ้านต่อเมื่อถึงเวลาอาหาร  นางจะเฝ้าดูน้ำที่ไหลไปตามซอกหินและต้นหญ้า  บ่อยครั้งที่นางจะนั่งอยู่ใต้ต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้าง  ทำให้ร่มเย็นแสนสบาย
การที่นางกินนาใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ในป่าเช่นนั้น  ทำให้นางคุ้นเคยกับสัตว์ป่านานาชนิด  บางครั้งจะเห็นนางนั่งเล่นอยู่กับนกจำนวนมาก  นกเหล่านั้นจะร้องเพลงให้หล่อนฟัง และบางครั้งหล่อนก็จะขึ้นไปนั่งบนคอช้างป่า
เช้าวันหนึ่ง นางกินนาได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในป่า ชายหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างงดงามราวกับพระอินทร์(ลาวชอบเปรียบคนรูปงามว่างาม ราวกับอินทา ในต้นฉบับอธิบายไว้ว่า อินทาเป็นเทพเจ้าแห่งความงาม) หนุ่มผู้นั้นถือปืนไว้ในมือ นางกินนาใฝ่ฝันอยู่นานแล้วที่จะมีสามีสักคนหนึ่ง  หล่อนจึงรู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแลเห็นหนุ่มรูปงามคนนี้
ขณะที่นางกินนากำลังรำพึงฝันหวานอยู่นั้น  นางก็ระลึกขึ้นได้ว่านางเป็นยักษ์รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด  เมื่อชายหนุ่มเห็นเข้าก็คงจะไม่หลงรักอย่างแน่นอน  อย่ากระนั้นเลยปลอมแปลงกายให้งดงามเสียก่อนจะดีกว่า นางจึงร่ายเวทมนต์กลายร่างจากยักษ์เป็นหญิงสาวรูปงาม มีเสน่ห์ยากที่หญิงใดจะเทียบเคียงได้ เมื่อแปลงกายแล้ว  นางกินนาก็ออกเดินเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วถามว่า
“ พี่เข้ามาในป่าจะไปไหนหรือ”
“  ฉันมาล่าสัตว์”  ชายหนุ่มตอบ
แล้วถามต่อไปว่า “เธออยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”
“ จ้ะ ฉันอยู่คนเดียว อยู่กับนกกับต้นไม้”
เสน่ห์ของนางกินนาทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะหลงรัก เขาเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วชวนพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ   เมื่อเห็นหญิงสาวไม่รังเกียจ  ก็ชวนไปนั่งคุยที่ลานหญ้าใกล้ลำธารชายหนุ่มได้บอกชื่อของเขาให้หล่อนทราบว่า เขาชื่อพุทเสนแล้วเล่าเรื่องราวให้หล่อนฟัง  นางกินนาได้ขอร้องให้ชายหนุ่มพักอยู่กับหล่อนนาน ๆ พุทเสนก็ยอมตกลงด้วยความยินดี
พุทเสนอยู่กับนางกินนาด้วยความสุขสำราญ  จนทำให้เขาลืมมารดาที่อยู่อย่างยากจนทางบ้าน
วันหนึ่งนางกินนาได้บอกความลับของนางให้พุทเสนฟังด้วยความไว้วางใจ
“ พี่  ฉันลืมบอกพี่ไปว่าในหีบใบนี้มีมะนาวที่ไม่รู้จักสุกไม่รู้จักเหี่ยวอยู่หลาย ผล  เป็นมะนาววิเศษที่ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งย่าครั้งยายของฉันทีเดียว  มะนาวเหล่านี้มีอำนาจวิเศษมาก พี่เคยไปเที่ยวสวนของฉันบ้างไหม”
“ไม่เคยเลย” ชายหนุ่มตอบ “อยู่ที่ไหนล่ะ”
“อ๋อ” กินนาตอบ “อยู่ห่างจากนี่สักแปดสิบเส้นเห็นจะได้  แต่ฉันขอร้องอย่าได้คิดไปเลย มันมีอันตรายมาก”
พุทเสนไม่ตอบ  แต่เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องสวนแห่งนี้
วันหนึ่งเมื่อนางกินนาไม่อยู่  พุทเสนก็ถือโอกาสตอนที่นางกินนาไม่อยู่นั้นไปที่สวนที่นางกินนาห้าม  ในสวนแห่งนั้นพุทเสนได้พบกระดูกมนุษย์ทับถมอยู่ในคูเกือบเต็ม  พุทเสนนึกเดาเรื่องได้ตลอด นางกินนาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน  เขาเกิดความกลัวขึ้นมาจึงวิ่งกลับมาบ้านแล้วเข้าไปในห้องเปิดหีบหยิบมะนาว วิเศษออกมา  เขาไม่รีรอให้เสียเวลารีบวิ่งออกจากป่าไปทันที
หลังจากที่พุทเสนหนีไปได้ไม่นานเท่าไรนัก นางได้เข้าไปดูที่เก็บมะนาวไว้ พอรู้ว่ามะนาวหายก็นึกรู้ได้ทันทีว่าพุทเสนรู้ความลับและหนีไปแล้ว นางจึงกลับกลายเป็นยักษ์ตามเดิมแล้วไล่ตามพุทเสนไป
ด้วยกำลังยักษ์ นางกินนาวิ่งตามเพียงพักเดียวก็แลเห็นหลังพุทเสนไว ๆ นางกินนาร้องเรียกให้พุทธเสนหยุดพูดกันก่อน  แต่พุทเสนไม่ยอมฟังเสียง  เมื่อเห็นนางกินนาใกล้เข้ามา  พุทเสนก็ล้วงเอามะนาวในย่ามออกมาผลหนึ่งแล้วขว้างไปตรงหน้านางกินนา ทันใดนั้นก็เกิดเป็นกองไฟกองมหึมาลุกลามกั้นนางกินนาไว้ ได้ยินแต่เสียงนางกินนาร้องเรียกแต่มองไม่เห็นตัว เพราะเปลวไฟลุกโพลง
พุทเสนไม่รอช้าขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้น  เขาก็วิ่งหนีต่อไป  แต่หนีไปไม่ได้ไกลเท่าไร  ก็ได้ยินเสียงนางกินนาร้องเรียกใกล้เข้ามา นางกินนาได้ใช้เวทมนต์ดับไฟสามารถไล่ตามเขามาได้อีก พุทเสนเห็นจวนตัวจึงหยิบมะนาวอีกผลหนึ่งออกมาจากย่ามแล้วขว้างไป  คราวนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่มองแทบไม่เห็นฝั่ง
นางกินนาถึงจะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยัง ไม่ละความพยายามกระโจนลงน้ำว่ายข้ามทะเลสาบมาอย่างกล้าหาญ  เมื่อนางกินนามาถึงฝั่งตรงข้าม  นางก็เหนื่อยอ่อนเต็มที นอนหลับอยู่ริมตลิ่งนั่นเอง นางไม่สามารถจะขยับเขยื้อนกายต่อไปได้อีก นางได้อ้อนวอนต่อสวรรค์  ขอให้ลงโทษต่อสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ของนาง เมื่อนางอ้อนวอนสิ้นสุดลงดวงตาของนางก็ปิดสนิทนางกินนาขาดใจตายเสียแล้ว
เมื่อพุทเสนแลเห็นนางกินนานอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนกายเช่นนั้นก็นึกว่านาง คงจะเหนื่อย  อ่อนกำลังไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้แล้ว  นึก ๆ ไปพุทเสนก็เกิดสงสารนางกินนาขึ้นมา  เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน  นางกินนาได้เอาอกเอาใจเป็นอย่างดี  นางกินนารักพุทเสนด้วยใจจริง  เมื่อคิดถึงความหลังขึ้นมาอีก พุทเสนก็ใจอ่อนเดินกลับไปหานางกินนาที่นอนอยู่ และพอรู้ว่านางกินนาขาดใจตายไปแล้ว พุทเสนก็ทรุดตัวลงข้าง ๆ ร่างของนางกินนา พยายามพยาบาลจะให้นางฟื้นขึ้นมาอีก  แต่ไม่สำเร็จพุทเสนเสียใจมาก เขาล้มฟุบลงบนร่างของนางกินนา และขาดใจตายตามไปอีกคนหนึ่ง
ร่างของนางกินนาและพุทเสน คงอยู่ริมแม่น้ำแห่งนั้น และเมื่อหลายร้อนปีผ่านไป ร่างของทั้งสองก็กลายเป็นภูเขาสองลูก ซึ่งเรียกกันว่า ภูท้าว และ ภูนาง ยังคงมีอยู่ใกล้ ๆ กับหลวงพระบางในเวลานี้

ນົກກະຈອກຟ້າ

       ยังมีนกกระจอกน้อยผัวเมียคู่หนึ่ง ทำรังอยู่ในหนวดของพระฤาษีอย่างมีความสุข ตัวผู้ออกไปหาเหยื่อส่วนตัวเมียเฝ้าไข่อยู่ในรัง ต่อมาตัวเมียฟักไข่ตัวผู้ก็ออกไปหาเหยื่อตามปกติ วันหนึ่งตัวผู้ไปหาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง พ่อนกมัวแต่หาเหยื่อในดอกบัวเพลินจนตะวันพลบค่ำ ดอกบัวก็หุบเอานกกระจอกตัวผู้นั้นออกมาไม่ได้ ต้องรอจนรุ่งอรุณวันใหม่ดอกบัวบานออกจึงออกมาได้และรีบบินกลับรัง ฝ่ายนกกระจอกตัวเมียคิดว่าผัวนอกใจไปมีเมียใหม่ จึงได้ทะเลาะถกเถียงกันและตัวผู้ก็สาบานแสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อเมียว่า “หากคิดมีชู้จากเมีย ขอให้เป็นบาปเป็นกรรมอันร้ายแรงตัวเท่ากับพระฤาษี ขอให้ตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจี” ฝ่ายพระฤาษีได้ยินนกกระจอกผัวเมียคู่นั้นถกเถียงสาบานกันดังนั้นก็โกรธมาก จึงไล่นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นให้ไปอยู่ที่อื่น นกกระจอกผัวเมียคู่นั้นจึงย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยไปอาศัยอยู่ป่าเลาที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งไฟป่าเกิดลุกไหม้ และลามเข้ามาใกล้รังของนกกระจอกผัวเมีย ทั้งคู่ได้สัญญากันว่าถ้าไฟไหม้มาถึงรัง จะไม่พากันหนีไปไหน จะยอมตายด้วยกันกับลูก ถ้าใครผิดคำสัญญาไม่ว่าชาติไหนจะไม่ยอมพูดกับเพศตรงกันข้ามอีกต่อไป ฝ่ายนกตัวผู้ก็ยอมรับคำตามคำสัญญานั้น ในที่สุดไฟป่าก็ลุกลามมาถึงรังของนกกระจาบ นกตัวผู้พอเห็นเข้ามาจวนตัวก็คิดว่า ถ้าอยู่ไปก็ตายเปล่า จึงผิดสัญญารีบบินหนีเอาตัวรอด แต่ก็ไปไม่รอดถูกไฟไหม้ตาย ส่วนตัวเมียได้ยอมตายในกองเพลิงพร้อมกับลูกน้อย
            ในชาติต่อมา นกกระจาบตัวผู้เกิดเป็นโอรสของเจ้าเมืองแห่งหนึ่งนามว่า ท้าววรจิต ส่วนนกกระจาบตัวเมียได้เกิดเป็นธิดาของเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งทั้งคู่มีรูป โฉมที่สวยสดงดงามดั่งเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ นับตั้งแต่นางเกิดมานางไม่ยอมพูดกับชายใดเลยแม้แต่พระบิดาของนางเอง พระบิดาของนางมีความทุกข์เป็นหนักหนา จึงได้ประกาศไปว่า ถ้าใครสามารถทำให้นางพูดกับผู้ชายได้ หรือว่านางพูดกับชายใด ก็จะยกเมืองให้ปกครอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้ ท้าววรจิตได้ยินข่าวนั้นจึงได้ไปเรียนวิชาถอดจิตกับพระฤาษี แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวนแล้วจึงให้ย่าจำสวนพาไปอาสาพูดกับนางจัน ทะจร โดยถอดจิตไว้กับหมอนแล้วพูดกับหมอนในเรื่องราวต่างๆ ในที่สุดพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ผู้ชายตลอด และท้าววรจิตจำเรื่องราวอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นนกกระจอกได้ จึงได้นำเรื่องนกกระจอกในอดีตชาติของตนมาเล่าให้หมอนฟัง แต่ตอนจบเรื่องแกล้งเล่าให้ผิดว่า ตัวเมียบินหนีไฟป่าไปก่อน ปล่อยให้ตัวเองกับลูกน้อยถูกไฟไหม้ตายพร้อมกัน คำพูดดังกล่าวแทงใจดำของนางจันทะจรซึ่งระลึกชาติได้ ทำให้นางโกรธมาก จึงพูดโต้แย้งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า เรื่องที่ท้าววรจิตพูดนั้นมันไม่เป็นความจริง เมื่อพูดเพียงเท่านั้น เหล่าเสนาอำมาตย์ที่เอาฆ้องกลองมาแอบดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็ตีฆ้องกลองกัน เสียงดังสนั่นก้องเป็นสัญญาณว่านางจันทะจรได้พูดกับผู้ชายแล้ว พระบิดาของนางจันทะจรจึงอภิเษกสมรสให้ท้าววรจิตกับนางจันทะจรพร้อมทั้งยกราช สมบัติให้ท้าววรจิตปกครองต่อไปและทั้งคู่ก็ครองรักปกครองไพร่ฟ้าประชาชนอยู่ อย่างสงบสุข

ພະຍາພິມພິສານ

          อาตมาภาพจะขออนุโมทนาด้วยท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรมาชุมนุมกันอยู่ในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลาย จงตั้ง(โสตาผาสาส โสตประสาท) (เป็นภาชนะ)ทองมารองรับเอารัสสะพระธรรมเทศนาเทิด ก็จักเกิดมาเป็นบุญแล้วก็จะได้ สำเร็จ ดังมโนรสความปรารถนา ท่านทั้งหลายได้ฟังแล้วก็ให้ตั้งใจฟังจิงจะเป็นบุญ ไม่เสียทีที่จะฟัง หู ๑ ไปฟังวนด้วยเขาพูดกัน ถ้าใผ ว่าคนที่ฟังธรรม หู ๑ ว่าบุญก็ยังมิได้ก่อนนี้แล้ว  ท่านทั้งหลายจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด  พระบาลีกล่าวว่า  ถ้าบุคคลผู้ใดมาฟัง พระธรรมเทศนาประกอบไปด้วยความนั้นอย่าสงใสเลยว่าจะได้ไปตกนรก คงจะหนาไปเป็นแน่ เอกะทา กิระ สัมมะเย สัตถาสาวัตถิยัง อุปะนิสายะ ปิตาระมาตุยา สัตตะวิณันติ สันติจานัง ปะรินะเตนะกา ปุระริยารามเม อะโหสิ เอกะทา กิระ สัมมะเย  ในกาละครั้งนั้น  สัตถาอันว่าองค์สมเด็จพระ ศาสดาตนสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เทศนาโปรดเวเนยยสัตว์คนท่านทั้งหลายทั้งปวงให้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ สาตะถานะปัตโต สาโรราชา  ในกาละครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารพระองค์เสด็จแวดล้อมไปด้วยพระหลวงขุน หมื่นทั้งหลาย เป็นยศศักดิ์บริวารก็เสด็จออกมาสู่พระมหาวิหารปรารถนารจะฟังพระสัทธรรมเทศนา แห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ฟังแล้วสมเด็จ พระยาพิมพิสารก็คลานเข้าไปสู่ที่เฝ้าแห่งสมเด็จพระพุทธิเจ้าแล้วนมัสการทูล ถามว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่ พระพุทธิเจ้า อันว่า บุคคล ๓ จำพวกนั้นมีศรัทธาต่างๆ กันจากพวกรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แต่ว่าไม่ฟังธรรมเทศนาแลทำบุญให้ทาน รักษาแต่ศีลอย่างเดียว จำพวกทำบุญให้ทานแต่ว่าไม่รักษาศีล พวก ๑ ตั้งใจฟังพระสัทธรรมเทศนาไม่ขาดแต่ว่าไม่ทำบุญให้ทานนี้แล พระพุทธิ เจ้าข้า อันว่าบุคคล ๓ จำพวกนี้ถ้าตายจากมนุสสาโลกนี้แล้วพวกไหนจะไปสวรรค์ก่อนนี้แล พระพุทะธเจ้าข้า  เค้าขม่อมสัน(เกล้ากระหม่อมฉัน) สงสัยนักหนา ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เค้าขหม่อมสันฟังให้แจ้งใน กาละบัดนี้เทิด อัตถา ภะคะวา รัญจะวัจจะนัง สุตะวา ลำดับแต่นั้น สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ซง(ทรง)ฟังพระยาพิมพิสารอาราธนา ดังนั้นพระองค์จึงเผยพระอดสาออกตรัสพระสัทธรรมเทศนาดูก่อนบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร) อันว่าบุคคล ๓ จำพวก นี้ถ้าตายวันใดที่จะไปสวรรค์อย่างความปรารถนานั้นก็ยังไม่ได้ไปดอก อันว่าจำพวกรักษาศีลนั้น ถ้าดับปัจจะขัน(ปัญจขันธ์หรือเบญจขันธ์)ใจขาด แล้วหูตาสว่างแจ้งเหลียวเห็นเมืองสวรรค์อยู่ แต่ว่าหาแฮงที่จะไปมิได้ อันว่าจำพวกที่ทำบุญให้ทานนั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาดแล้ว กำลังก็มากก็จะข้ามสงสารได้ กับว่าตาทั้ง ๒ หากบอดเสียมิได้แจ้งเลย อันว่าจำพวกที่ฟังธรรมเทศนานั้น ถ้าดับปัจจะขันใจขาด แล้วมีกำลังก็มาก ตาทั้ง ๒ ก็สว่างแจ้ง กับว่าหาปัญญามิได้ ไม่ปกติเลย แต่หลงๆ ลืมๆ มิอาจจะขว้ามสงสารได้นี้แล บผิด(บพิตร)พระราชสมภารสันนิษฐานเข้าใจเทิด ถ้าว่าบุคคลผู้ปรารถนาจะไปเกิดในเมืองสวรรค์ ก็ให้ตัดฮอนเสียซึ่งความถีนะแล้วอดสากระทำบุญให้ทานเจริญเมตตาภาวนารักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วอดสาหาฟังธรรมเทศนาไว้ในปีเดือนอย่าให้ขาด โย ปุคคละโล อันว่าบุคคลผู้ใดกระทำบุญดังวิสัชนามาสันนี้ไม่ลำบากปรารถนาเลย ถ้าตายลงวันใดตัวบุญที่ทำไว้นั้นแลมาเป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่พากันไป เกิดในเมืองสวรรค์ไม่มีความสงไสเลยนี้แล บพิตรพระราชสมภาร อันว่ากิริยากระทำบุญให้ทานในพระศาสนาของเรานี้ ไม่ต้องปรารถนาก็คงจะได้เป็นแน่ด้วยกรรมว่า พระยามัจจุราชตามเล็งดูอยู่ทุกวันทุก คืนมิได้ขาด ถ้าบุคคลผู้ใดกระทำบาปมากหรือทำบุญมาก พระยามัจจุราชท่านก็ฮู้จงหมดจงสิ้นนี้แลบพิตรพระราชสมมิพาน(พระราชสมภาร) อย่าต้องสงไสเลย อันว่ามนุษย์เกิดมาในโลกทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี ท้าวพระยามหากษัตริย์ก็ดี อันว่าพระยามัจจุราชไว้หน้าไว้ตานั้นก็หามิได้ เถิงจะเอาเงินทองสักฮ้อยเท่าพันทีมาไถ่เอาชีวิตไว้ก่อนก็ไม่ได้ ก็ต้องกระทำกาลกิริยาตายสิ่งเดียวกันไปหมดนี้แล พระยาพิมพิสารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด เถิงว่าบุคคลผู้ใดจะมีริทธาศักดานุภาพมากสักเท่าใดๆ ว่าจะหลบลี้หนีไปให้พ้นพระยามัจจุราช อย่าพึงนึกเลย ต้องได้ทิ้งลูกฮักแลเมียฮักไว้แล้วกระทำกิริยาตายไปแต่ตนผู้เดียว อันว่าลูกฮักแลเมียฮักเข้าของเงินทองที่ฮักๆ ที่แพงๆ นั้นจะได้ติดตัวไปเป็นเพื่อนเมื่อเวลาพระยามัจจุราชมาเอาไปนั้นก็หาก(ก็หามิ ได้) เว้นไว้แต่ศีลแลทานการกุศลนี้ แลจะมาอุปถัมภ์ค้ำชูพาตนไปเกิดในสวรรค์ ถ้าบุคคลผู้ใดหาบุญหากุศลมิได้แล้วเมื่อจะกระทำกาลกิริยาตายก็ทนขา(ทุกข์ขา)เวทนา ยิ่งหนักหนา ด้วยว่าบุญบาปมันมางอบงำไว้ อันว่าคนเราจำกาลกิริยาตายนี้อุปมาดังนอนหลับ ถ้าผู้ใดได้กระทำกุศลไว้มาก ตัวกุศลนั้นว่ามาพาตนเป็นยศศักดิ์บริวารพาตนไปเกิดในเมืองสวรรค์ด้วยหนทาง อันกง ถ้าบุคคลผู้ใดได้กระทำบาปกรรมไว้แล้ว ถ้าตายลงวันไหนพวกบาปกรรมมันมาเป็นยศศักดิ์บริวารเอาบุคคลผู้นั้นไปเกิดใน เมืองนรกเสวยทุกขาเวทนาอยู่ในเมืองนรกนั้นมีอายุยืนยาวได้ชั่วพระอาทิตย์พระ จันทร์ก็มีอายุตามลำดับเขากระทำไว้นี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารเราเทศนาให้ท่านฟัง อันว่าบุคคลเกิดมาในมนุสสาโลกทุกวันนี้ คนบาปมากว่าบุญเพราะสันนี้ คนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อย หนักน้อยหนาประดุจดังตาโค ลงไปเกิดในอยู่ในเมืองนรกมากมายยิ่งหนักหนา ประดุจดังขนโค เหตุซะนี้แลจิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ อันว่ามนุษย์ทั้งหลายทุกวันนี้ ถึงจะกระทำบุญให้ทานฟังพระธรรมเทศนาก็น้อยหนักน้อยหนาที่จะให้ชมชื่นเหมือน อย่างไปทำปาณาติบาตนั้นก็หามิได้ อันว่ากิริยาไปทำปาณาติบาตนั้นเถิงว่าจะไกลสักเท่าใดๆ แต่รู้ข่าวว่าบ้านนั้นเขาได้เนื้อได้ปลามากมาย แต่จะพูดกันท่อนั้นก็กลัวเพื่อนบ้านเขาจะได้ยินมาก แต่ก็ตื่นดึกลุกเช้าก็พากันไปดู จะหาคนเฝ้าเฮือน ๑ คนก็หามิได้นี้แล จิงว่าคนบาปมากกั่วคนบุญ ถ้าไปกระทำบุญให้ทานเหมือนอย่างไปทำปาณาติบาตนี้ก็จะว่าคนบุญมากกั่วคนบาป เหตุซะนี้แลจิงว่าคนไปเกิดในเมืองสวรรค์น้อยหนักน้อยหนา คนที่ลงไปอยู่ในนรกนั้นมากมายจะคันนะนา(คณนา)มิได้เลยนี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารท่านจิงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท) เป็นภาชนะทองฮองฮับเอารัสสาพระธรรมเทศนาเทิด ตัตถานปัตโต สาโลราชา สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารก็นมัสการทูลถามต่อไปว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแด่พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาทุกวันนี้เหตุซะไหนจิงไม่คือกัน ลางคนก็ฮูปงาม ลางคนก็ฮูปขี้เหร่ ลางคนก็ปัญญาดี ลางคนก็หาปัญญามิได้ ลางคนก็อายุยืนยาว ลางคนก็อายุสั้น ลางคนมั่งมีเข้าของเงินทอง ลางคนก็หาเข้าของเงินทองมิได้ ลางคนลางคนก็เสียงไพเพราะ ลางคนก็เสียงไม่ดี คน ๑๐ จำพวกนี้แล เหตุไหนจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า เขาก็คนแท้ๆ  ทำไมจิงไม่คือกันพระพุทธเจ้าข้า  เกล้าขม่อมสันสงไสยิ่งหนักหนา ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้า ข้า  อัถถา ภะคะวารโย วัจจะนัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น พระพุทธ เจ้าจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อน(มหา)บพิตรพระราชสมภาร อันว่าบุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล ชาติก่อนเขาได้กระทำกุศลต่างๆ กัน อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปอันงาม แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแต่ของดีๆ บริสุทธิ์ เกิดมาในชาตินี้จิงมีฮูปอันงามเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจแก่คนทั้งหลาย อันว่าบุคคลเกิดมามีฮูปขี้เหร่นั้น แต่ชาติก่อนมิได้กระทำบุญให้ทาน ด้วยเขา(ทำบุญให้ทาน)แต่ละทีก็เอาแต่ของเน่าของบูดบ่งาม ตัวกินแล้วจิงเอามาทำบุญให้ทาน เหตุซะนี้แลเกิดมาชาตินี้จิงไม่มีฮูปอันงาม อันว่าบุคคลเกิดมามีปัญญาสลาด แต่ชาติก่อนเขาได้เล่าเฮียนพยัญชนะแลได้เขียนไว้ในพระศาสนา เกิดมาชาตินี้เขาจิงสลาดปัญญาดี อันว่าคนเกิดมาหาปัญญามิได้นั้น แต่ชาติก่อนเขามิได้บวชได้เฮียนแลไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม ไม่ฮู้จักศีล ๕ ศีล ๘ เกิดมาชาตินี้จิงหาปัญญามิได้ จะนับ ๑๐ ก็ไม่ถ้วนไม่ถึง อันว่าคนเกิดมามีอายุยืนยาวนั้น แต่ชาติก่อนเขาได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ไว้ในพระศาสนา เกิดมาชาตินี้ อายุเขาจิงยืนยาว อันว่าคนเกิดมามีอายุสั้นพลันตายนั้น แต่ชาติก่อนมันได้ไปลักเอาทรัพย์เขามากระทำบุญให้ทาน เกิดชาตินี้จิงมีอายุสั้นเกิดแล้วตายหาประหมานมิได้เลย อันว่าคนเกิดมามีเข้าของเงินทองแต่หนุ่มๆ ถึงเถ้านั้น แต่ชาติก่อนเขาได้กระทำบุญให้ทานแล้วท่านก็เอาทรัพย์ไปฝังไว้ในพระศาสนา ไม่เป็นคนขี้ตระหนี่เหนียวแหน้น เกิดมาชาตินี้เขาจิงมีทรัพย์สินเงินทองมากกั่วคนทั้งหลาย อันว่าคนเกิดมาหาเงินทองมิได้นั้น แต่ชาติก่อนเขาเป็นคนขี้ถะหนี่เข้าของเงินทอง เห็นหมู่บ้านเขากระทำบุญให้ทานแลฟังธรรมเทศนา มันก็เกิดเสยเลยบ่เหลียวดู มันก็เฮ็ดดังหูบ่ฮู้ตาบ่เห็น ถ้ามันจะมาทำบุญให้ทานข้าวน้ำแต่ละที มันเสียดายเงินของมัน เพราะซะนั้น เกิดมาชาตินี้มันจิงเป็นคนทุกข์ไฮ้เข็ญใจหาเข้าของเงินทองจะกิน หาผ้าจะนุ่งหาเกลือจะกับก็หามิได้ อันว่าคนที่เกิดมามีเสียงเพราะเสาะใสนั้น แต่ชาติก่อนเขาได้ให้ฆ้องระฆังแซ่ง(ฉาบ)เป็นทาน เกิดมาชาตินี้จิงมีเสียงไพเราะ  เพราะ เสาะใส อันว่าคนที่เกิดมาเสียงไม่ดีนั้น แต่ชาติก่อนมิได้สร้างฆ้องระฆังไว้ในพระศาสนาเกิดมาชาตินี้เสียงจิงไม่ดีนี้ แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารพึงสันนิษฐานเข้าใจเทิด ตัตถาคะปัตโต สาโรราชา สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงกราบทูลถามต่อไปว่า อันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกเป็นคนกืกนั้นเหตุสันไหนพระพุทธเจ้าข้า  ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตักว่า  อ้อ  ดูก่อนอันว่าคนเกิดมาพูดไม่ออกนั้นฤาบพิตรพระราชสมภาร  แต่ชาติก่อนมันเป็นบ่าวเป็นสาวอยู่ พระภิกษุเดินทางมาขอบิณฑบาตน้ำกินแลน้ำอาบ   มันก็ถือว่ามันอายมันพูดไม่เป็นปากไม่เป็น  มันก็เลยหาบน้ำเดินหนีเสีย  เหตุซะนั้นแลจิงมาบังเกิดเป็นคนกืกอยู่ ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรมนั้นแล  พระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า อันว่าคนเกิดมาหูหนักตาบอ มาแต่เล็กๆ น้อยๆ นั้นเหตุสันไหน ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนที่เกิดมาหูหนักตาบอดนั้น แต่ชาติก่อนมันมาฟังธรรมเทศนา มันมาเถิงโฮงธรรมมาพักศาลาแล้วมันก็ซักซวนเขาพูดต่างๆ เหมือนอย่างบ่มาฟังธรรม คนที่เขาตั้ง(ใจ)ฟังนั้นก็พลอยเสียสติไปด้วย  คำที่เขาพูดกันนั้นแล คนที่เขาพูดกันจิงมาบังเกิดเป็นคนหูหนักตาบอดอยู่ ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม  สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า พระพุทธิเจ้าข้า อันว่าคนที่เกิดมาเป็นขี้กากขี้เจี้ยน(เกลื้อน)ขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้น เป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า  ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิด สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร  อันว่าคนเกิดมาที่เป็นขี้กากขี้เฮี้ยนขี้เจี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นฤา แต่ชาติก่อนมันไปเทียวล่อลวง เอาทรัพย์เขามาเป็นของตัวแล้วมันจิงได้มาบังเกิดเป็นคนไม่สมประกอบแลเป็นขี้ กากขี้เจี้ยนขี้เฮี้ยนขี้ทูดกุฏฐังนั้นแต่จะได้เกิดใช้ชาติอยู่เถิง ๕ ฮ้อยชาติจิงจะสิ้นกรรม สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงทูลถามต่อไปว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาเป็นข้อยข้าแต่หนุ่มจนเถ้าแก่จนตายนั้นเป็นเหตุซะไหนพระพุทธิ เจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธิเจ้า ข้า สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนเกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนั้นฤา แต่ชาติก่อนมันได้ไปยืมเอาเงินเขามา ไม่หาใช้ไปแทนเขาแล้วมันก็กระทำกาลกิริยาตายเงินเขาสูญแล้ว เหตุซะนั้นแลมันจิงได้เกิดมาเป็นบ่าวเขาแต่หนุ่มจนแก่จนตายนี้แล พระยาพิมพิสารท่านจงสันนิษฐานเข้าใจเทิด อันว่าบุคคลผู้ใดได้ เป็นหนี้เขาตั้งแต่อัด ๑ ขึ้นไปมิได้หาใช้แทนเขา ถ้าตายจากมนุสสาโลกแล้วก็จะทง(ทรง)ทุกขาเวทนาอยู่ในนรกนั้นประหมานมิได้ เลย ถ้าพ้นจากนรกแล้วก็จะได้มาเกิดเป็นบ่าวเขาอีก ๕ ฮ้อยชาติ อันว่าคนเฮาทุกวันนี้หญิงก็ดีชายก็ดี ที่เกิดมาเป็นบ่าวเขานั้น ชาติก่อนมันเป็นลูกหนี้เขาทั้งนั้น เกิดมาชาตินี้จิงมาเป็นบ่าวเขานี้แล พระยาพิมพิสารจิงสันนิษฐานเข้าใจเทิด สมเด็จพระยาพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า พระพุทธเจ้าข้า อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียสตินั้นเป็นเหตุซะไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังในกาละบัดนี้เทิดพระพุทธเจ้าข้า ตัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังจิงตรัสว่า อ้อ ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร อันว่าคนเกิดมาเป็นบ้าใบ้เสียจิตนั้นลือ แต่ชาติก่อนมันเป็นเจ้าเสน่ดีทำให้ชายหญิงเป็นบ้าแก้ผ้าเสื้อลืมเนื้อลืม กายหลงฮ้องไห้นำ เหตุซะนั้นแลเกิดมาชาตินี้จิงได้เป็นบ้านี้แล ท่านทั้งหลายที่นั่งสัมโมสรชุมนุมในสถานที่นี้ฟังสันนี้เข้าใจเทิด นะปะโตสาโรราชา สมเด็จพระยาพิมพิสารจิงนมัสการทูลถามว่า ภันเต ภะคะวา ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันว่าบุคคลทั้งหลายหญิงก็ดี ชายก็ดีมีใจใสศรัทธาทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาจะมีผลาอานิสงส์เป็นประการใด   ขอพระผู้เป็นเจ้าจิงวิสัชนาให้เกล้าขม่อมสันฟังให้แจ้งในกาละบัดนี้เทิดพระ พุทธิเจ้าข้า ตัง สุตะวา สมเด็จพระพุทธิเจ้าได้ทรงฟังถ้อยคำพระยาพิมพิสารอาราธนาดังนั้น จิงตรัสธรรมเทศนาว่า ดูก่อนบพิตรพระราชสมภาร ท่านจงตั้งโสตาผาสาด(โสตประสาท) เป็นภาชนะทองมาฮับเอารัสสะธรรมเทศนาเทิด อัตตะมาจะสำแดงให้ได้ฟัง อันว่าบุคคลผู้ใดได้มาฟังพระสัทธรรมเทศนาได้บุญ ๑๒ พัน ได้เฮียกกันเทิดได้บุญ ๑๕ พัน ได้สร้างหนังสือไว้ในพระศาสนาได้บุญ ๒ หมื่นพัน สร้างพระพุทธรูปได้บุญ ๑๘ พัน ได้ถวายผ้าพิดานได้บุญ ๑๐ พัน สร้าง  (ล.๘ น.๒) วิหารได้บุญพัน ๑ สร้างวัดได้บุญ ๓ พัน ปลูกต้นโพธิ์ได้บุญ ๔ พัน สร้างกุตติ(กุฏิ)ได้ บุญ ๑๑ พัน สร้างโหวด(โบสถ์)ได้บุญ ๑๕ พัน สร้างถานได้ ๘๐ พัน สร้างศาลา ได้ ๓ หมื่นพัน สร้างตะพาน(สะพาน)ได้บุญหมื่นพัน สร้างเสาทองได้บุญ ๔ พัน สร้างทางเดินได้บุญ ๑๐ พัน สร้างตู้ใส่หนังสือได้บุญ ๑๗ พัน สร้างหอไตรได้บุญ ๓๒ พัน สร้างฆ้องได้บุญ ๑๓ พัน สร้างระฆังได้บุญ ๑๒ พัน สร้างกลองได้บุญ ๙ พัน ให้ผ้าพิดานได้บุญ ๒ พัน ถวายจีวรได้บุญ ๒๐ พัน ทอดกฐินได้บุญ ๔๐๐ พัน ทอดบังสุกุลได้บุญ ๘๐ พัน ทอดผ้าป่าได้บุญ ๒ หมื่นพัน สวดมนตร์ได้บุญ ๑๐ พัน ภาวนาพระไตรลักขณญานได้บุญ ๙ พัน ภาวนาตุรญานได้บุญ ๑๑ พัน รักษาศีลได้บุญ ๑๒ พัน ภาวนาจาตุพรหมวิหารได้บุญ ๑๓ พัน ภาวนานะโมพุทธายะได้บุญ ๑๕ พัน ภาวนาพระธรรมบท ๑ ได้บุญ ๑๗ พัน ภาวนาทุกขัง ได้บุญ ๑๘ พัน ภาวนาอนัตตาได้บุญ ๑๓ พัน ภาวนามะ(อะ)อุ อุอะมะ ได้บุญ ๑๘ พัน สวดมนตร์ฮ้อยทีบ่ท่อจำศีลวัน ๑ จำศีลฮ้อยที บ่ท่อภาวนาพรหมวิหารวัน ๑ บวชลูกเป็นเณรได้บุญ ๔ พัน บวชลูกเป็นพระได้ บุญ ๑๖ พัน บวชตัวเองได้บุญได้ ๔๔ พัน บวชน้องได้บุญ ๑๓ กับ(กัปป์)บวชพี่ชายได้บุญ ๑๔ กัปป์ บวชหลานได้บุญ ๘ กัปป์ บวชโปรดคนอนาถาหาที่เพิ่งบ่ได้ได้บุญ ๓ กัปป์ ผัวบวชเมียได้บุญ๑๒ กัปป์ เมียบวชผัวได้บุญ ๔๐๐ กัปป์ ใส่บาตรให้พระได้บุญ ๑๖ กัปป์ ให้หมากพลูเป็นทานได้บุญ ๒ กัปป์ ให้ข้าวเป็นทานได้บุญ ๒ กัปป์ ให้ข้าวเป็นทานกับเด็กน้อยเลี้ยงควายได้บุญ ๖ พัน ให้ข้าวเป็นทานกับคนเดินทางมาขอได้บุญ ๘ พัน ให้น้ำเป็นทานได้บุญ ๑๒ พัน บอกชาวบ้านใส่บาตรได้บุญ ๑๖ พัน เทียวป่าวฮ้องคนมาทำบุญให้ทานได้บุญหมื่น ๑ ยกมืออนุโมทนาได้อานิสงส์พัน ๑ นี้แล บพิตรพระราชสมภาร อันว่าบุคคลทำบุญให้ทานไว้ในพระศาสนาทุกวันนี้ก็มีอานิสงส์อย่างนี้แล ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากประสบกับพระศรีอารย์ ก็ให้อัชชะหา(อุตสาหะ)ทำบุญให้ทานเหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทิดจิง จะได้ประสบกับพระศรีอารย์ในภายภาคครั้งหน้า ถ้าแม่นบุคคลผู้ใดทำบุญได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้ไม่ต้องปรารถนา ก็คงจะได้เห็นพระศาสนาของพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล ท่านทั้งหลายที่มานั่งสัมโมสรประชุมกันในสถานที่นี้ ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาอยากเห็นหน้าพระศรีอารย์แล้วก็ให้อดสาตั้งใจฟังธรรม ให้ทานรักษาศีลจำเริญเมตตาภาวนาเถิงจะได้เห็นหน้าพระศรีอารย์ที่ท่านจะมา ตัด(ตรัสรู้)ในภายภาคหน้านี้แล พระยาพิมพิสารบพิตรพระราชสมภารจงสันนิฐานเข้าใจเทิด เฮาจะเทศนาให้ฟัง อันว่าบุคคลใดอดสาทำบุญให้ทานฟังพระสัทธรรมเทศนารักษาศีลสวดมนตร์ภาวนาดัง วิสัชนามาซะนี้ก็คงได้ประสบพบพระศรีอารย์เป็นแน่นี้แล พระยาพิมพิสารถ้าบุคคลผู้ใดอยากพบพระศรีอารย์แล้วก็ให้ตั้งใจทำบุญให้ทานเห มือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้เทินก็สิ้นศาสนาของเฮาแล้วพระศรีอารย์จะลงมา ตัด(ตรัสรู้)เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปนี้แลบพิตรพระราชสมภารจงตั้งโสตาผาสาด(โสต ประสาท)เป็นภาชนะทองมาฮองฮับเอารัสสาธรรมเทศนาเทิน อัตตะมาจาสำแดงให้ฟังในใจความว่า ครั้ง ๑ ยังมีพระมาลัยองค์ ๑ เกิดที่ก้ำในแขงเมืองลังการนั้น ใจความว่าท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ที่สุดท้ายกั่วพระอรหันต์ทั้ง ๒ แต่มีฤทธิ์เดชเหมือนกันกับพระโมคคัลลาที่หอเหิรเดินอากาศแลดำดินแซกพระสุธา ได้หมดทุกอย่าง ท่านเลยไปโปรดสัตว์ในนรกแลสัตว์ในสวรรค์อย่างเดียวกันกับพระโมคคัลลาเมื่อ วัน ๑ ก็หอขึ้นไปชั้นฟ้าตาวติง(ดาวดึงส์) ตั้งไปไหว้พระเจดีย์มุลละนี(จุฬามณี)ก็ ถึงชั้นตาวติงก็เป็นวันพระก็เหลียวเห็นฝูงเทวดาทั้งหลายมาประชุมฟังธรรม เทศนาพระศรีอารย์ พระมาลัยจิงเข้าไปถามว่าท่านนะฤาชื่อว่าพระศรีอารย์ ๆ จิงบอกว่า อาตมานี้แลชื่อว่าพระศรีอารย์ พระมาลัยจิงถามต่อไปว่าศีลทานการกุศลของท่านนี้ดีอย่างไล(ไร)ธรรมเทศนาของ ท่านดีอย่างไร พระศรีอารย์จิง บอกว่า ถ้าบุคคลผู้ใดได้รักษาศีลฟังธรรมเทศนาแล้ว เฮาก็เปิดประตูนรกให้เห็นสว่างแจ้งแก่ตาโลก พระมาลัยจิงถามว่า พระศรีอารย์ยังนานเท่าใดจิงจะลงไปโปรดสัตว์ในมนุสสโลก พระศรีอารย์จิง ตอบว่าพอสิ้นพระศาสนาของพระพุทธิเจ้าองค์นี้แล้วเฮาจะลงไปตัด(ตรัสรู้)เป็น พระพุทธเจ้าต่อไปเมื่อเวลาเฮาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วในเมืองมนุสสโลกที่จะมี คนทุกข์ไฮ้เข็ญใจยาจกคนขอกระจอกงอกง่อยหูหนวกตาบอดไม่มีเลย เป็นคนผู้ดีสีสุกมั่งมีทั่วหน้ากันทั้งนั้นแล จะมีต้นไม้กามมะพึกเกิดขึ้น ๔ ต้นทุกมุมเมืองสำฮอย ๑ ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ไปนึกเอาที่ต้นไม้กามมะพึกนั้น ถ้าดอกผลมันตกมาก็กลับกลายเป็นเข้าของแก้วแหวนเงินทองได้ดังความปรารถนาทุก ประการ  เฮาจะเทศนาโปรดสั่งสอนธรรมอันพิเศษและเปิดประตูนรกเสียก็เปิดประตู สวรรค์  และนิรพานให้คนทั้งหลายเข้าบรมสุขามหากษัตริย์นี้และพระมาลัยท่านจง ลงไปในเมืองมนุสสาโลกแล้วให้ท่านไปสั่งสอนเขาด้วยเทิด ถ้าบุคคลผู้ใดอยากได้ประสบพบเฮาแล้ว ท่านก็ไปบอกให้เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอดสาฟังธรรมเทศนาในปี ในเดือนอย่าให้ขาดเทิด ถ้าบุคคลผู้ใดทำได้เหมือนอย่างเฮาเทศนาให้ท่านฟังนี้แล้วจิงจะได้เห็นศาสนา ของเฮาในภายภาคครั้งหน้าตั้งแต่นี้ต่อไปไม่นานเท่าใดยังอยู่ ๒๕๔๙ พรรษาจิงจะสิ้นพระศาสนาของพระสัมมณโคดมองค์นี้ พระสัทธรรมเทศนาสำแดงมาก็เป็นสาวันนะกานที่บ่ดี สำมุดยุตติกาไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการัจสะนี้ฯฯฯ ลิจจนาแล้วยามแลงแลเจ้าเฮย ตัวใดตกให้ยอ ตัวใดบ่พอให้หาใส่แดเนอ เออได้เขียนหนังสือพระยาพิมพิสารไว้กับศาสนาพระพุทธเจ้า ตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานขออย่าให้มีมารมาประโจนแพ้ได้ด้วยเตชะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้านี้ก็ข้า สาธุ ๆ อนุโมทามิ อันหนึ่งนั้นขอให้ผู้ข้านี้ม้มจากทุกข์จากภัยจากโรคาพยาธิทั้งชาตินี้แลชาติ หน้าตราบต่อเท่าเข้าสู่นีรพานก็ข้าเทิน แล้วท่อนี้ก่อนแลเจ้าเฮย

ນິທານປາແດກ ປາສະໝໍ

        ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ตัตตาการา (ล. ตัณหังการ) มีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่าพรหมทัต มีมเหสีพระนามว่าวรุณวดีราชเทวี ปกครองเมืองพาราณสีด้วยทศพิธราชธรรม ยังมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าปาจินคาม ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ มีประมาณ ๓๐๐ หลังคาเรือน มีนายกวานบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่าตาแสนไช มีภรรยาชื่อว่านางบัวไข มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่าท้าวบัวพันชั้น เมื่อท้าวบัวพันชั้นอายุได้ ๑๖ ปี ตาแสนไชก็ตายจากไป หลังจากนั้นนางบัวไขก็ไปสู่ขอนางปัททุมมามาเป็นภรรยาท้าวบัวพันชั้น อยู่กินกันมาได้ ๖ ปีก็ยังไม่มีลูก นางบัวไขจึงบอกให้อธิษฐานขอลูกจากเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยแรงอธิษฐานของนางจึงร้อนไปถึงพระอินทร์ แล้วพระอินทร์จึงทรงพิจารณาหาเทวดาผู้ที่จะสิ้นอายุขัย ก็พบว่ามีเทพบุตรตนหนึ่งซึ่งเป็นหน่อพุทธางกูรโพธิสัตว์กำลังจะสิ้นอายุขัย จะจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ พระอินทร์จึงเสด็จไปเชิญเทพบุตรตนนั้นลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา เทพบุตรตนนั้นก็รับแต่โดยดี และก่อนที่จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์พระอินทร์ได้ส่งเทพธิดา ๔ นางลงไปเกิดพร้อมกัน และได้มอบของวิเศษให้แก่เทพธิดาทั้ง ๔ นางลงไปเกิดด้วยดังนี้คือ ได้มอบงาช้างทิพย์คู่หนึ่งพร้อมทั้งแหวนธำมรงค์ให้แก่นางมาสเทพธิดา มอบกงจักรแก้วให้แก่นางพยฆราชกัญญาเทพธิดา มอบดาบสีคันไชให้แก่นางสีหาราชกัญญาเทพธิดา และมอบฆ้องวิเศษให้แก่นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดา ขณะที่ลงมาเกิดพอถึงกลางท้องฟ้าเทพบุตรและเทพธิดาทั้ง ๕ ตนก็ถูกลมพัดให้ไปเกิดคนละแห่ง กล่าวคือนางมาสเทพธิดาลงไปเกิดในครรภ์ของนางโมลีราชเทวีมเหสีของพระยาตุ้ม วังฟ้าฮ่วนกษัตริย์เมืองราชคฤห์ นางพยฆราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางเสือโคร่ง นางสีหาราชกัญญาเทพธิดาลงไปในท้องของนางราชสีห์ นางคชุทกราชกัญญาเทพธิดาลงไปเกิดในท้องของนางช้างน้ำ นางทั้ง ๔ มีรูปโฉมผิวพรรณงดงามมาก ส่วนเทพบุตรได้ลงไปเกิดในครรภ์ของนางปัททุมมา ณ บ้านปาจินคาม เมืองพาราณสี มีนามว่า บุษบา เมื่อท้าวบุษบาอายุได้ ๗ ปีท้าวบัวพันชั้นและนางปัททุมมาก็ตายจากไป ท้าวบุษบาจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่าเพียง ๒ คนโดยมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากจน อยู่มาวันหนึ่งท้าวกำพร้าบุษบาลงไปอาบน้ำที่หนองน้ำเห็นคนตกเบ็ดได้ปลามาก มาย จึงอยากจะตกเบ็ดกับเขาบ้าง จึงไปอ้อนวอนย่าให้หาเบ็ดให้ เพราะความยากจนแม้สักว่ามีดจะผ่าฟืนก็ยังไม่มี ย่าจึงห้ามไว้ แต่ท้าวกำพร้าบุษบาก็ยังอ้อนวอนอยู่ จนในที่สุดย่าก็ไปค้นหาของที่พอจะมีค่าบ้างและได้เห็นกระดิ่งทอง ๓ ลูกจึงเอาไปขอแลกเบ็ดกับเด็กชาวบ้านแล้วท้าวกำพร้าบุษบาก็ไปตกเบ็ดได้ปลาหมอ มากมายแล้วจึงหาบกลับบ้านเอามาทำเป็นอาหารกินที่เหลือก็เอามาทำปลาร้าไว้ เพื่อแลกและขายเลี้ยงชีวิต ในวันหนึ่งได้ฝากพ่อค้าสำเภาไปขายที่เมืองหล้าน้ำ พอไปถึงเมืองหล้าน้ำพ่อค้าเปิดไหปลาร้าเพื่อเอาไปขาย แต่ปลาร้ามีกลิ่นเหม็นมากจึงไม่มีคนซื้อ พอถึงตอนกลางคืนพระอินทร์ได้เอาปลาร้าทิพย์ลงมาจากสวรรค์มาใส่ไว้แทน กลิ่นปลาร้าทิพย์หอมฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง พอวันรุ่งขึ้นพ่อค้าสำเภาเปิดไหแล้วชิมดูปรากฏว่าปลาร้านั้นมีรสชาติอร่อย มากจึงปรึกษากันว่าจะนำไปถวายพระราชาเมืองหล้าน้ำเท่านั้นจึงจะเหมาะสม จึงนำไปถวายพระราชาแล้วกลับมาขายของตามเดิม ฝ่ายพระราชาเมืองหล่าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กเปิดดูแล้วกลิ่นก็หอมฟุ้งตระหลบ อบอวลไปทั่วเมืองแล้วจึงชิมดู ปลาร้ามีรสชาติอร่อยมาก พระราชาเมืองหล้าน้ำจึงให้พวกมหาดเล็กควักปลาร้าออกแล้วให้เอาแก้วแหวนเงิน ทองใส่ไว้แทนและเอาปลาร้าปกปิดไว้ข้างบนแล้วปิดไหไว้ดังเดิม วันต่อมาพวกพ่อค้าขายของหมดแล้วจึงมาทูลลาพระราชาเมืองหล้าน้ำกลับ พระราชาจึงตรัสหยอกล้อเล่นกับพ่อค้าสำเภาว่า ปลาร้าในเมืองนี้มีมากมายไม่ต้องการปลาร้าไหนี้ ให้เอากลับคืนไปให้ท้าวกำพร้าเสีย พ่อค้าสำเภาเข้าใจว่าพระราชาตรัสจริง จึงไม่ได้เปิดดู พอกลับมาถึงบ้านจึงไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาเอาไหปลาร้ากลับไป ท้าวกำพร้าก็มาเอาไปเก็บไว้ที่บ้านโดยไม่ได้เปิดดู จนเวลาผ่านไป ๓–๔ ปี พ่อค้าสำเภาไปขายของที่เมืองราชคฤห์ท้าวกำพร้าก็ฝากปลาร้าไหเดิมไปขาย พอไปถึงเมืองราชคฤห์ก็เอาปลาร้าไหนั้นไปถวายพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วน หลังจากพวกพ่อค้าสำเภาลงไปจากปราสาทพระยาตุ้มวังฟ้าฮ่วนก็ให้พวกมหาดเล็ก เปิดดูไหปลาร้านั้น พอหยั่งมือลงไปประมาณข้อมือหนึ่งก็พบแก้วแหวนเงินทองมากมาย จึงทรงดำริว่าไหปลาร้านี้มิใช่ของคนธรรมดา น่าจะเป็นของคนผู้มีบุญญาธิการ และทรงดำริว่าจะยกนางมาสให้แก่เจ้าของไหปลาร้านั้นจึงประชุมเสนาอำมาตย์แล้ว ให้หมอโหรมาทำนายดูดวงชะตาของเจ้าของไหปลาร้า จึงรู้ว่าท้าวกำพร้าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการและเป็นคู่ครองของนางมาสที่ลงมา เกิดจากสวรรค์ด้วยกัน จึงตัดสินใจยกนางมาสให้โดยให้นางมาสเข้าไปอยู่ในงาช้างทิพย์คู่ที่ลงมาจาก สวรรค์พร้อมกับนางมาสพร้อมด้วยแก้วแหวนเงินทองมากมายแล้ว เมื่อพวกพ่อค้าสำเภามาลากลับเมืองก็ให้พวกพ่อค้าสำเภาเอางาช้างคู่นั้นไปฝาก ท้าวกำพร้าบุษบาเป็นค่าปลาร้า เมื่อพวกพ่อค้าสำเภากลับไปถึงเมืองพาราณสีแล้วก็ไปบอกให้ท้าวกำพร้ามาแบกเอา งาช้างคู่นั้น ท้าวกำพร้าดีใจมากจึงรีบมาหามงาช้างพร้อมกับย่า แต่งาช้างหนักมากต้องใช้คน ๗–๘ คนจึงจะหามได้ เนื่องจากมีเพียงแค่ ๒ คนคือย่าและหลาน นางบัวไขผู้เป็นย่าจึงให้ท้าวกำพร้าบุษบาอธิษฐานว่าถ้าเป็นผู้ที่มี บุญญาธิการจริงก็ให้ยกงาช้างได้โดยง่าย แล้วท้าวกำพร้าก็อธิษฐานและยกงาช้างนั้นขึ้นบ่าหามไปถึงฝั่งน้ำได้โดยง่าย แต่พอจะหามไปบ้านงาช้างนั้นก็กลับหนักอีก ท้าวกำพร้าจึงอธิษฐานให้งาช้างหมุนเวียนไปในทิศที่จะอยู่แล้วมีความสุขความ เจริญ แล้วงาช้างก็เวียนเคลื่อนไปในด้านทิศเหนือไปหยุดอยู่ตรงระหว่างชะง่อนหิน แห่งหนึ่งก็มืดค่ำพอดี แล้วทั้งย่าและหลานก็เฝ้างาช้างคู่นั้น ด้วยความเหนื่อยและความหิวย่าและหลานก็พากันนอนหลับไป ขณะที่ย่าและหลานนอนหลับอยู่นั้น นางมาสก็ออกจากงาช้างมาเนรมิตกระท่อม เอาอาหารทิพย์ออกมาจัดเตรียมไว้และจุดไฟให้สว่าง ย่าและหลานตื่นขึ้นมาเห็นอาหารก็ไม่ยอมกิน เพราะคิดว่าคนที่จัดเตรียมอาหารไว้ให้นั้นต้องการจะฆ่าหรือไม่ก็ปรับสินไหม จึงนอนหลับ นางมาสก็ออกมาอุ้มเอานางบัวไขและท้าวกำพร้าขึ้นไปนอนบนกระท่อมและห่มผ้าให้ แล้วก็เข้าไปอยู่ในงาช้างตามเดิม วันรุ่งขึ้นย่าและหลานจึงไปเก็บข้าวของที่บ้านเพื่อมาอยู่เฝ้างาช้าง พอมาถึงก็มีคนจัดเตรียมอาหารไว้ให้อีก ด้วยความหิวทั้งย่าและหลานจึงกินจนอิ่มแล้วก็มืดค่ำและนอนหลับไป วันต่อมาท้าวกำพร้าใช้อุบายเพื่อจะแอบดูคนที่มาจัดเตรียมอาหารไว้ให้โดยบอก ให้ย่าไปตักน้ำแล้วตนเองก็แอบซุ่มอยู่พุ่มไม้ พอเห็นนางมาสออกมาจากงาช้างเก็บกวาดกระท่อมอยู่ จึงรีบวิ่งไปจับแขนนางมาสเอาไว้ แล้วถามความเป็นมาทุกอย่างต่อจากนั้นทั้ง ๒ ก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากนั้นมาทั้ง ๓ คนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในกระท่อมกลางป่านั้นโดยไม่ได้ไปขอข้าวปลา อาหารเสื้อผ้ากับชาวบ้านอีกต่อไป
              เวลาผ่านไปหลายเดือน ชาวบ้านปาจินคามไม่เห็นย่าและหลานทั้ง ๒ มาขอข้าวปลาอาหารเหมือนเดิมตั้งแต่ไปอยู่เฝ้างาช้าง จึงได้ส่งคนไปสืบดูจึงรู้ว่าคนทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่และท้าวกำพร้ายังมีภรรยาที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ข่าวความงามของนางมาสก็แพร่กระจายไปถึงพระกรรณของพระยาพรหมทัตว่า ท้าวกำพร้าบุษบาซึ่งอยู่กระท่อมกลางป่ามีภรรยาสวยราวกับเทพธิดา เพราะราคะตัณหาเข้าครอบงำพระยาพรหมทัตจึงอยากได้นางมาสมาเป็นพระเทวี จึงวางอุบายเพื่อจะฆ่าท้าวกำพร้าบุษบา โดยการให้ท้าวกำพร้าบุษบาไปเอาน้ำนมเสือโคร่ง น้ำนมราชสีห์ และน้ำนมช้างน้ำตามลำดับเพื่อเอามาเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งท้าวกำพร้าก็สามารถหามาได้ทุกครั้ง และได้ภรรยามาเพิ่มทุกครั้ง คือนางพยฆราชกัญญา นางสีหาราชกัญญา และนางคชุทกราชกัญญาตามลำดับ เมื่อกำจัดท้าวกำพร้าไม่สำเร็จ พระยาพรหมทัตจึงปรึกษากับเสนาอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเพื่อคิดหาอุบายใหม่ พวกเสนาอำมาตย์จึงกราบทูลให้พระยาพรหมทัตใช้ให้ท้าวกำพร้าไปเยี่ยมญาติที่ ตายไปสู่ปรโลกและให้เอาวัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานด้วย โดยให้มาถึงภายใน ๓ วัน ถ้าไม่ไปก็จะฆ่า ถ้าไปแล้วไม่ได้วัตถุเข้าของมาเป็นหลักฐานก็จะฆ่าเหมือนกัน ด้วยสติปัญญาของนางมาสช่วยคิดกลอุบายให้โดยนางให้ท้าวกำพร้าหาบเอาวัตถุเข้า ของที่เอามาจากงาช้างเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในป่าครบ ๓ วันแล้วจึงหาบออกมา ส่วนนางก็เอาขี้ผึ้งมาปั้นเป็นหุ่นท้าวกำพร้านอนไว้บนกระท่อมและเอาผ้าห่ม ไว้ เมื่อถึงวันที่ ๓ พวกเสนาอำมาตย์ก็มาติดตามข่าวคราวของท้าวกำพร้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเห็นท้าวกำพร้านอนนิ่งอยู่บนกระท่อมเห็นนางทั้ง ๔ เอาหุ่นขี้ผึ้งไปเผาบนกองฟืนแล้วท้าวกำพร้าก็หาบเข้าของออกมาจากป่าแล้วหลง เชื่อแล้วก็พาท้าวกำพร้านำเอาหาบเข้าของไปถวายแก่พระยาพรหมทัต พระยาพรหมทัตก็หลงเชื่อและอยากจะไปเยี่ยมญาติบ้างจึงถามทางไปกับท้าวกำพร้า ท้าวกำพร้าบุษบาจึงหลอกว่าต้องให้คนมัดมือมัดเท้าแล้วให้จุดไฟเผาก็จะไปถึง เพราะบาปกรรมอันหยาบช้าพระยาพรหมทัตถูกโมหะเข้าครอบงำจึงหลงเชื่อคำของท้าว กำพร้าโดยทำตามทุกอย่างและก็ถูกไฟเผาตายในที่สุดพร้อมกับพวกเสนาอำมาตย์ชั่ว ที่ให้คำปรึกษาในการทำชั่ว แล้วพวกเสนาอำมาตย์ที่ดีจึงเสี่ยงทายราชรถเพื่อหาพระราชาองค์ใหม่ แล้วราชรถก็ไปเกยที่กระท่อมท้าวกำพร้า ในที่สุดท้าวกำพร้าบุษบาก็ได้ครองเมืองพาราณสีแทนพระยาพรหมทัต ไพร่ฟ้าประชาชนก็อยู่อย่างสงบสุขร่มเย็น
              กล่าวถึงพระยาสุริยะวงสากษัตริย์เมืองตักสิลานครโกรธเคืองต่อ พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนที่มอบนางมาสไปให้เป็นค่าปลาร้าท้าวกำพร้า เพราะเมื่อครั้งที่ตนแต่งทูตและบรรณาการไปสู่ขอนางมาสไม่ยอมยกให้โดยให้ เหตุผลว่าจะให้อยู่ปกครองเมืองแทน พระยาสุริยะวงสาจึงยกทัพไปเมือง ราชคฤห์เพื่อจะฆ่าพระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วน พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนแต่งทัพออกไปสู้รบแต่ก็แพ้กลับมา จึงให้เชิญพระยาขีปปะเตชา เจ้าแห่งผีแมนตาทอก ซึ่งอยู่ยอดเขายุคันธรมาช่วยรบ แต่ฤทธิ์เดชของพระยาขีปปะเตชากับพระยาสุริยะวงสาเท่าเทียมกันไม่มีใครแพ้ไม่ มีใครชนะ พระยาขีปปะเตชาผีแมนตาทอกจึงบอกให้พระยาตุ้มวางฟ้าฮ่วนส่งคนไปเชิญพระยา กำพร้ามาช่วยรบและพระยากำพร้าก็มาช่วยสู้รบและสามารถปราบพระยาสุริยะวงสาได้ โดยพระยาสุริยะวงสาได้ยอมแพ้และได้แต่งเครื่องบรรณาการมาขอขมาแล้วทั้ง ๒ พระองค์ก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน หลังจากบ้านเมืองสงบสุขแล้วพระยากำพร้าก็ลากลับเมือง ต่อมาพระยากำพร้าออกเทศนาสั่งสอนเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำทานรักษาศีล ๕ และเสด็จไปโปรดมนุษย์ตามเมืองต่างๆ ทั่วชมพูทวีป
              ต่อมาพระยากำพร้าได้บุตรธิดา ๔ คน ได้จัดให้อภิเษกสมรสกันระหว่างพี่น้องแล้วมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์โต ซึ่งเป็นลูกของนางมาส และให้พระโอรสองค์รองเป็นอุปราชแล้วพระยากำพร้าบำเพ็ญศีลทานภาวนาตลอดชีวิต แล้วจุติตายไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต